30 บาทอยู่ในอันตราย! :คอลัมน์ ใบตองแห้ง
คำชี้แจงของหมอคนหนึ่ง
ไม่ยกเลิกครับ เพียงแต่ปรับให้กองทุนอยู่รอด จากทุกวันนี้ คนมี คนไม่มี ก็จ่าย 30 บาทหมด
เค้าก็จะปรับเป็น copay คือคนมีก็ร่วมจ่าย คนไม่มีก็ไม่ต้องจ่าย
เพียงแต่ถ้าจะยืนยันว่าไม่มี ก็ไปลงทะเบียนให้เรียบร้อย เงินที่มีจำกัด ก็จะได้ลงไปช่วยเหลือให้ตรงจุด
ทุกวันนี้อยู่รพ. คนที่มารักษาจริง ๆและใช้ 30 บาทจริง ๆคือคนชั้นกลางนะครับ
ซึ่งบางบ้านก็มี บางบ้านก็ไม่มี ส่วนคนที่จนจริง ๆ หนะ ขนาดค่ารถจะมารพ.ยังไม่มีเลย
ดังนั้นเค้าถึงจะหาทางลงไปช่วยคนที่จนจริง ๆ นี่แหละครับ โดยการให้ไปลงทะเบียน
หาอาชีพ หางาน หาสวัสดิการให้ ส่วนคนชั้นกลางที่พอมีก็จะให้ร่วมจ่าย แต่จะออกมากี่บาท
ก็ยังต้องไปหาทางออกร่วม แต่ไม่มีปล่อยนอนตายอยู่บ้านครับ
คนไม่มีตังค์ก็แค่บอกว่าไม่มีตังค์ เค้าจะได้ช่วยไม่ใช่ไม่มีก็ไม่บอก แล้วให้รัฐบาลแจกฟรีให้เท่ากันทุกคน เพราะเงินมันก็จำกัด สมมติกลม ๆ งบสาธารณสุขปีละ 200000 ล้าน
ให้คน 60 ล้านคน ได้ตกคนละ 3000 บาท (จริงๆไม่ถึง เพราะเงินเหมา 3000 ที่จัดสรร มันรวมเงินเดือนหมอ พยาบาล ค่าตึก สิ่งปลูกสร้าง ค่าน้ำ ค่าไฟรพ.ด้วย)
แต่ถ้าเปลี่ยนให้คนที่มีตังค์ copay ซักครึ่ง 20ล้านคน เหลือคนจนที่จำเป็นจริงๆ 40 ล้านคนงบต่อหัวก็จะเป็น 5-6000 บาทด้วยซ้ำ
ซึ่งหมายถึงยาที่ดีกว่า การรักษาที่ดีกว่า คุณภาพชีวิตที่ดีกว่า นั่นแหละครับ อย่ามองว่าอนาถา
แต่มันคือการปรับระบบให้กองทุนอยู่รอด คนไทยอยู่ได้ดีขึ้นครับ
**************************************
ระบบประกันสุขภาพไม่มีวันล้ม และไม่มีใครหรือรัฐบาลใหนมาล้มได้หรอกครับ
นอกจากวาทกรรมของคนบางกลุ่มที่ต้องการบิดเบือนว่ารัฐบาลจะล้มหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
(เหตุผลคือรัฐบาลเห็นว่าด้วยรูปแบบเดิมของหลักประกันสุขภาพที่คนกลุ่มหนึ่งพยายามยึดไว้เพื่อมาบริหารจะมีปัญหามากขึ้นในอนาคต จึงอยากปรับเปลี่ยนระบบการจัดการบางอย่าง เปลี่ยนอย่างไรจะว่ากันต่อ)
อยากให้เข้าใจตรงกันก่อนครับว่าบัตรสามสิบบาทหรือบัตรทองไม่มีอยู่แล้วน่ะครับในปัจจุบัน
ที่เป็นอยู่คือบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งไม่มีการเรียกเก็บเงินสามสิบบาทแล้วครับ
โดยข้อเท็จจริง
ทีนี้หลักของการประกันสุขภาพโดยคร่าวๆจะถือหลัก ของการเท่าเทียมคือคนทุกคนที่เป็นคนไทย มีสิทธิในการรักษาพยาบาลและดูแลสุขภาพโดยเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะยากจนหรือรวยล้นฟ้า
แต่โดยข้อเท็จจริงเช่นกัน อย่างที่มีคนกล่าวถึง คนที่จนจริงๆอยู่ห่างไกล เดินทางลำบากไม่อาจเข้าถึงการรักษาเพราะจนแม้กินหรือค่าเดินทางมารักษายังไม่มี
คนที่พอมีบางหรือปานกลางคือคนที่มาใช้บริการส่วนใหญ่
แต่ก็ปรากฏว่าคนที่รวยมากๆก็ยังมาใช้สิทธิอันนี้ แย่งชิงทรัพยากรในการรักษาที่มากกว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำ
บางคนรวยหลายสิบล้านยังมีเลย บางคนรักษาเอกชนค่ายาเดือนละ 2-30000บาทต่อเดือน
พอต้องจ่ายนานก็ขอมารับยาที่ รพ.รัฐแทน ด้วยช่องทางพิเศษที่จะใช้สิทธิอันนี้
ผู้ป่วยที่ป่วยจากการทำตัวเอง เช่นกินเหล้า สูบบุหรี่ ยาเสพติดแล้วป่วย ก็มาใช้สิทธิอันนี้
ด้วยหลักของความเท่าเทียม ซึ่งในประเทศไทยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าใช้รูปแบบหลักการนี้อยู่ในปัจจุบัน(มีหลายประเทศที่ใช้หลักนี้) แต่เท่าเทียมก็ไม่เท่าเทียมจริง ในคนไทยทุกคน เพราะยังมีคนไทยที่มีประกันสุขภาพในรูปแบบประกันสังคมและสิทธิข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งคนกลุ่มนี้ได้สิทธิที่ไม่เท่าเทียมกับสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้าเนื่องจากการมีงบจำกัด
ในขณะที่คนทุกคนในหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสิทธิเท่าเทียม จึงต้องแบ่งปันกันด้วยงบจำกัด
ยังมีระบบประกันสุขภาพที่ใช้หลักของความยุติธรรม ซึ่งประเทศส่วนใหญ่ในโลกใช้กันอยู่
หลักการคือคนที่ยากจนก็ได้สิทธิมาก คนที่พอมีก็ต้องจ่ายบ้าง คนที่รวยก็ต้องจ่ายมากขึ้น
โดยถือหลักว่าคนที่มีฐานะดี ย่อมมีศักยภาพในการเข้าถึงและใช้ทรัพยากรของชาติมากกว่าคนที่อยากจน ..ดังนั้นถือเป็นหน้าที่ที่คนที่ร่ำรวยควรต้องจ่ายเพื่อการดูแลสุขภาพที่มากกว่าคนที่ยากจน นี่คือหลักความยุติธรรม
ที่นี้รูปแบบยังแยกได้อีกหลายรูปแบบตั้งแต่การร่วมจ่าย Copayment ซึ่งก็มีหลายรูปแบบเช่นกัน
เช่นร่วมจ่ายในบางเรื่องบางรายการ หรือชนิดการรักษา หรือจ่ายเป็นรายโรค บางโรคจ่ายมาก
บางโรคก็จ่ายน้อย หรือโรคที่ทำร้ายตัวเอง เช่นดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ก็จ่ายมากหน่อย เป็นต้น
หรือการซื้อประกันสุขภาพ ดูตามรายได้ของแต่ละบุคคล เป็นต้น
ยังมีเรื่องของการเสียภาษีเพิ่ม บางประเทศจะเก็บภาษีแพงมาก เช่น อังกฤษหรือสแกนดิเนเวีย
บางประเทศจะมีภาษีสุขภาพต่างหาก เพื่อมาจัดการระบบสุขภาพ
บางประเทศเก็บภาษีสูงแล้วยังมีการให้เสียเงินทำประกันสุขภาพด้วย
หวังว่าคงเข้าใจหลักการนี้ก่อนน่ะครับ
ที่นี้มาต่อด้วยวาทกรรมของบางกลุ่มที่อ้างว่ารัฐบาลจะล้มระบบประกันสุขภาพเพื่อไปทำให้เกิดระบบอนาถาแทน ให้มีการลงทะเบียนคนจน คนพูดอ้างถึงตรรกะที่ให้มีการจดทะเบียนผู้มีรายได้น้อยว่าเป็นผู้ป่วยอนาถารักษาโดยไ่ต้องชำระเงินเลย
ซึ่งโดยข้อเท็จจริงคือทุกวันนี้รัฐบาลก้ไม่เคยเรียกเก็บเงินและชำระฟรีอยู่แล้ว
นั่นหมายถึงว่าโดยสถานะปัจจุบัน คนทุกคนที่ใช้สิทธิรักษาฟรี ที่ไม่ใช่สิทธิประกันสังคม
สิทธิข้าราชการเบิกได้กระทรวงการคลังทั้งหลาย ก็คือสถานะอนาถาทุกคนอยู่แล้ว
ถ้าบอกว่าการรักษาฟรีเป็นเช่นนั้น แม้แต่เศรษฐีร้อยล้านที่ไปใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพก็ต้องถือว่าอนาถาด้วย ด้วยนิยามหรือความเข้าใจของผู้ต้องการบิดเบือนอ้างว่ารัฐบาลต้องการล้มระบบประกันสุขภาพ
แล้วทำไมรัฐบาลจึงต้องการเปลี่ยนระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเดิม
ก็ต้องดูข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพที่ผ่านมา 14 ปี
จะเห็นได้ว่าค่าใช้จ่ายที่รัฐบาลต้องจ่ายให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพนำมาใช้ที่ผ่านมา มีแต่ตัวเลขที่สูงมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นภาระต่อระบบงบประมาณของราชการในขณะที่ปัญหาสุขภาพสุขภาพของประชาชนไม่ลดลงเลย ทั้งที่เงินเข้าระบบมากขึ้น
อัตราป่วยของประชากรสูงขึ้นเรื่อยๆ มีการใช้บริการมากขึ้นเรื่อยๆ(สาเหตุเพราะอะไรต้องคุยกันยาว)
ในขณะที่ต้นทุนรักษาโรคของผู้ป่วยก็สูงขึ้นเช่นกัน และเนื่องจากด้วยหลักของความเท่าเทียม
ที่ผ่านมาที่ สปสช(สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ)นำมาใช้นั้น คนจนจริงไม่ได้ใช้ คนชั้นกลางใช้มากที่สุดและคนรวยมาแย่งใช้ โรพยาบาลพยายามที่จะลดต้นทุนลงกลายเป็นการเสียโอกาสและสียสิทธิสำหรับคนที่ยากจนและคนที่พอมี ไม่ได้โอกาสที่จะรับการรักษาแบบเต็มที่เพราะงบจำกัด
ในขณะที่คนที่พอมีจ่ายได้บ้างก็เสียสิทธิอาจไม่ได้รับการรักษาเต็มที่ เพราะ รพ.ก็ต้องลดต้นทุนเช่นกัน
ถ้าพอจ่ายเองบ้างก็มีสิทธิเลือกวิธีการรักษาได้ ไม่ใช่แบบเหมาโหลตามที่ สปสช กำหนด(นี่อีกประเด็นที่คุยยาว)
ส่วนคนรวยไม่มีปัญหาเพราะเริ่มการรักษามักไปเอกชนก่อน การรักษาต่อเนื่องจึงมาใช้สิทธิตาม สปสช
ข้อเท็จจริงอีกอันคือตั้งแต่มี สปสช.... รพ.รัฐต้องรับงบดำเนินการส่วนใหญ่จาก สปสช
ผลที่เกิดขึ้นเป็นข้อเท็จจริงคือมี รพ.รัฐอยู่ในภาวะขาดทุน มีวิกฤตปัญหาการเงิน และมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะพยายามบริหารเพื่อลดต้นทุนแล้วก็ตาม ก็ยังอยู่ในภาวะขาดทุนอยู่ในปัจจุบัน
นั่นคือเหตุผลหลักเลยที่รัฐบาลต้องหันมามองการจัดการระบบประกันสุขภาพของประเทศไทย
ให้มีรูปแบบอย่างที่ประเทศส่วนใหญ่ในโลกทำ ซึ่งอย่างที่ได้ยกตัวอย่างแล้ว
ถ้าใช้หลักของความยุติธรรม ก็มีหลากหลายวิธีที่จะทำได้ ไม่ใช่แบบที่มีคนพยายามบิดเบือน
เนื่องจากรัฐบาลยังไม่ได้กำหนดวิธีการด้วยซ้ำ แต่มาบอกแล้วว่าเป็นการลงทะเบียนคนจนและทำ copayment
copayment มีได้หลายวิธีหลายรูปแบบที่หลายประเทศทำ เพียงแต่ต้องศึกษาและปรึกษาร่วมกันให้ดีว่า
ควรทำในรูปแบบใดที่จะเหมาะสมกับคนไทยมากที่สุด
อาจเพิ่มภาษี VAT /เพิ่มภาษีสุขภาพ / หรือเพิ่มภาษีส่วนบุคคล / อาจเป็นการให้ซื้อประกันสุขภาพ
การเป็นcopayment กำหนดอัตราคงตัว หรือปรับตามโรคที่ป่วยเป็นเหมาจ่ายเป็นต้น หรือเป็นทางเลือกเพิ่มในการเลือกการรักษาที่จำเพาะหรือพิเศษออกไป
ผมคงไม่สามารถสรุปว่าเป็นแบบใด และกระทรวงสาธารณสุขเองก็ยังไม่มีข้อสรุป
แต่ก็มีกลุ่มมนุษย์วิเศษที่รู้ไปก่อนแล้วว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี่ ออกข่าวไปก่อนแล้ว
ดังนั้นผมคงบอกในชั้นนี้ได้ว่า
ด้วยรัฐธรรมนูญใหม่ และแนวคิดเบื้องต้นของกระทรวงสาธารณสุข ไม่มีการล้มหลักประกันสุขภาพแน่นอน แต่คงมีการปรับเปลี่ยนเพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อระบบประกันสุขภาพในอนาคต
ที่ไม่ล้มโดยใคร แต่ล้มโดยตัวเองที่ไม่มีทางหางบประมาณมาดำเนินการต่อไปได้
********************************************************
ระบบสุขภาพถ้วนหน้า ( บัตรทอง บัตรสุขภาพ บัตรสามสิบบาท ฯลฯ ) หลักการดี แต่มีปัญหาเรื่องของการปรับใชั โดยเฉพาะเรื่องของ งบประมาณ กับ คุณภาพบริการ ( เพราะ ค่าใช้จ่ายที่ปรับลดมากสุด ก็คือ ค่ายา ? )
เรื่องงบประมาณ ไม่ว่าจะเป็น สิทธิราชการเบิกได้ หรือ สิทธิสุขภาพถ้วนหน้า ก็จะต้องมีการปรับลด ควบคุมค่าใช้จ่าย เพราะ มีผลต่องบประมาณของประเทศ ซึ่งไม่ว่า รัฐบาลไหน ก็ต้องทำเหมือนกัน คือ ต้องปรับลด งบประมาณด้านสุขภาพ
ความจริงที่เกี่ยวกับระบบการบริการด้านสุขภาพของประเทศไทย .. พญ. เชิดชู
ณรงค์ สหเมธาพัฒน์” ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แจงสภาพข้อเท็จจริงระบบสุขภาพของไทย
ตัวอย่างปัญหา ประกันสังคม .. โรงพยาบาลเอกชน และ ความต้องการของผู้ป่วย ???
ทีดีอาร์ไอ : ระบบประกันสุขภาพที่มีประสิทธิภาพและเท่าทียมของไทยในอนาคต
ฝันร้ายในระบบบริการสุขภาพไทย .. นพ.ไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล ( สิงหาคม ๒๕๕๗ )
ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง บัตรสามสิบบาท ฯลฯ) หาข้อมูลก่อนแสดงความเห็น บ้างก็ดีนะครับ
หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หลักการดีแต่ต้องรีบ“ปฏิรูปวิธีดำเนินการ” ... พญ. เชิดชู
ดูบทความทั้งหมด
ถ้าชอบบทความที่นำมาให้อ่าน เขียนให้กำลังใจบ้างนะคะ คนทำบล็อกก็เหมือน บรรณารักษ์ห้องสมุดนะคะ อ่านๆ รวบรวม จัดหมวดหมู่ คนมาใช้บริการจะได้เลือกอ่านได้ถูก
ตอบลบ