pearleus

วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2558

นรกมันมีจริง


ไหนๆ ก็ได้พื้นที่จากทางไทยรัฐในการเขียนความในใจแล้ว บุ๋มขอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้แต่น้อยคนที่จะรู้ว่า "นรกมันมีจริง" มันคือ เรื่องราวของหญิงไทยที่ไปทำงานในต่างแดน
เท่าที่ได้มีการพูดคุยกับผู้หญิงที่ได้ช่วยเหลือกลับมา หญิงสาวกว่า 90% รู้ว่าตัวเองกำลังจะไปทำงานอะไร แต่ไม่นึกว่าจะมีคู่แข่งเยอะจากนานาประเทศ รวมทั้งไม่คิดว่าจะต้องทำงานหนักมากขนาดนี้ ส่วน 10% ที่เหลือคือพวกที่โดนหลอกว่าให้ไปทำงานนวดสปา หรือไม่ก็พนักงานร้านอาหารและโรงแรมจริงๆ แต่พอไปถึงกลับให้ทำงานขายตัวเพื่อใช้หนี้ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าวีซ่า ค่ากิน ค่าอยู่ ค่ายา ค่าของใช้สารพัด ยิ่งทำยิ่งเป็นหนี้
ตอนติดต่อให้ไปทำงานก็จะบอกว่า ไปทำงานโรงแรม สปา ร้านนวด หรือไม่ก็ขายตัวกันชัดๆ นี่แหละ แต่จะบอกว่า ไปทำงานสัก 2-3 เดือน ก็จะได้เงินสองสามแสนกลับบ้าน สาวบ้านนอก ยากจน หนทางชีวิตแค่หายใจยังลำบาก ไหนจะต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ที่เจ็บป่วยแก่เฒ่า ลูกหลานที่แหกปากร้องหิวทุกวัน ผัวที่ไม่ทำการทำงาน ชีวิตเหมือนไม่มีทางเลือก สู้ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า นายหน้าหรือคนติดต่อก็ยังบอกว่า ค่าตั๋ว ค่าวีซ่า ค่าอุ้ม (คือค่าหาคนมารับรองเข้าประเทศ) ออกให้ก่อน ไปแล้วได้ตังค์แล้วค่อยใช้คืน ไม่กี่หมื่นหรอก (ตอนนี้นายหน้าหรือคนแนะนำได้ตังค์ไปดอกแรกแล้ว) แต่ก็มีบางคนที่เต็มใจไปจ่ายค่านายหน้า 5 - 8 พันบาท
พอไปถึงก็จะโดนจับไปขังอยู่ในตึก แล้วก็บอกสาว

ๆ เหล่านี้ว่า มีหนี้กับคนดูแล 1,600 ถึง 1,800 ดีนาร์บาห์เรน (ณ วันที่พิมพ์คอลัมน์ 1 ดีนาร์บาห์เรน เท่ากับ 92 บาท) ค่าเช่าห้องสัปดาห์ละ 220 ถึง 280 ดีนาร์บาห์เรน อาหารมีให้กินวันละมื้อ (บางทีก็ต้องจ่าย บางตึกก็ไม่ต้อง) ส่วนมื้ออื่นมี ข้าว ไข่ และมาม่า ให้พอรองท้อง ถ้าจะกินเยอะกว่านี้ก็ต้องจ่ายตังค์ การทำงานต้องทำ 24 ชั่วโมง ต้องรับแขกทุกครั้งที่โดนเรียก ถ้าดื้อ ถ้าช้า ถ้างอแง ก็โดนบวกตังค์ทบหนี้ ดังนั้นสาวๆ ต้องแต่งหน้าตลอด 24 ชั่วโมงเช่นกัน ค่าของใช้ส่วนตัว สบู่ ยาสีฟัน ค่าเครื่องสำอาง ทุกอย่างคิดเป็นตังค์หมด อย่างแป้งซื้อจากเมืองไทย 100 บาท ก็ไปขายสาวๆ ในราคา 500 บาท ถ้าเจ็บป่วยซื้อยาก็คิดตังค์เพิ่ม ยิ่งถ้าต้องไปหาหมอไม่ต้องพูดถึง ใช้หนี้อาน
ส่วนรายได้ก็ต้องมาจากการขายตัว ครึ่งชั่วโมง 20 ดีนาร์บาห์เรน, ถ้าหนึ่งชั่วโมงก็ 30 - 35 ดีนาร์บาห์เรน เหมาวันก็มีแต่น้อย แถมยังมีราคาปลีกย่อยว่าถ้าขายหน้าหลังราคาก็เพิ่มขึ้นมาอีกนิด ถ้าโชคร้ายก็จะเจอแขกหลอกว่าเฉพาะข้างหน้า แต่พอเข้าห้องโดนล็อกแขนข่มขืนข้างหลังจนเลือดไหลไม่หยุดก็มีมาแล้ว ไม่จ่ายเพิ่มด้วย! แล้วคิดดูว่าวันๆ นึงคุณต้องรับแขกให้ได้กี่คนเพื่อให้พอค่าห้องพัก ค่าอาหาร และจ่ายหนี้ที่ค้างเป็นแสนมาตั้งแต่แรก คุณต้องรับแขกอย่างน้อยร้อยประตูต่อสัปดาห์ถึงจะอยู่รอด ถ้ามีประจำเดือน คุณก็ต้องซื้อลูกไก่ราคาประมาณ 5 ดีนาร์บาห์เรน (ฟองน้ำกลมๆ เพื่อยัดในช่องคลอดไว้อุดเลือดไม่ให้ไหล แล้วถ้าโดนอัดหนักๆ จนล้วงไม่ออก ก็ต้องเอาน้ำฉีดเข้าไปในช่องคลอดจนลูกไก่หลุดออกมา) แต่ก็ต้องรับแขกให้ได้มากที่สุด ถ้าอยู่มานานแล้วหาแขกไม่ค่อยได้ รายได้ไม่เดินก็จะโดนขายต่อไปตึกอื่นเหมือนหมูเหมือนหมา แถมหนี้ค่านายหน้าก็เพิ่ม ถ้าป่วยก็ต้องหายาที่จ่ายแพงๆ มากินให้หาย ถ้าป่วยไม่หายไร้ซึ่งอนาคตก็จะโดนผลักตกตึกแล้วก็จะบอกแค่ว่า มันคืออุบัติเหตุ

สาวๆ ที่อยู่ที่นั่นเลยต้องปากกัดตีนถีบไปโดยไม่มีข้อแม้ ห้ามออกนอกตึกถ้ายังใช้หนี้ก้อนแรกไม่ได้ ห้ามเปิดหน้าต่างให้คนอื่นรู้ แถมยังนอนในห้องที่นอนกองรวมๆ กันสิบกว่าคน (ห้องที่ต้องจ่าย 220 หรือ 2 หมื่นกว่าต่อสัปดาห์นั่นแหละ) แล้วยังมีสาวๆ สวยๆ จากต่างชาติมาแย่งลูกค้าอีกเพียบ (ไม่กล้าเขียนประเทศเกรงว่าจะเป็นปัญหาระหว่างประเทศกันอีก เอาเป็นว่าพูดถึงสาวไทยก็พอนะ) สาวไทยเหล่านี้เลยต้องดูแลปรนนิบัติพัดวีนวดเฟ้นหลังเสร็จกิจเป็นอย่างดี เพื่อให้ลูกค้าติดใจครั้งหน้าจะได้เรียกสาวไทยต่อไป ดูสิ! การแข่งขันสูงมากขนาดไหน? นี่ละมั้งที่บอกก่อนมาบาห์เรนว่า “งานนวด”
บ่อทองบ่อสวรรค์กลายเป็นเหวนรกเมื่อคิดผิด ไปหนึ่งเดือนสามเดือนก็ยังกลับไม่ได้เพราะหนี้ยังใช้ไม่หมด ดีไม่ดีก็โดนหมกไม่ได้กลับบ้านตลอดกาล ชีวิตจริงไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ ค่ะ แต่ถึงกระนั้นสาวไทยก็ยังเหินฟ้าบินไปบาห์เรนกันเหมือนไปเที่ยวห้าง ทำให้ทางองค์กรทำดีและสถานทูตไทยในบาห์เรนต้องทำงานหนักในการช่วยเหลือหญิงสาวออกมาจากนรก ต้องขอขอบคุณ สถานทูตไทยในบาห์เรน หรือ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมานามา ที่ช่วยเหลือหญิงไทยทุกคนอย่างขันแข็ง แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่า พวกเธอเหล่านั้น 90% เต็มใจไป

จริงอยู่ที่การเข้าไปช่วยเหลือทำให้บรรดาซ่องเสียหนี้ที่ต้องได้แต่ก็ถือว่าคุณเองก็หลอกเค้า จริงไหม? ส่วนสาวๆ ที่คิดว่า สถานทูตต้องออกตังค์ค่าหนี้ค่าตั๋วให้ คิดผิดคิดใหม่นะคะ เพราะเงินนั้นคือเงินภาษีประชาชนที่เค้าทำงานหนักและจ่ายภาษีถูกต้องตามกฎหมาย จะมาจ่ายให้สาวๆ ตั้งเป็นพันคนต่อปี เพื่อไปบินกลับเนี่ยะนะ คิดง่ายไปไหม? แล้วคุณดูจำนวนคนที่ไปสิ ขนาดบ้านพักฉุกเฉินมีให้กินให้นอนอย่างดีแบบฟรีๆ ก่อนได้บินกลับ สาวๆ บางคนยังมีบ่นเลย เฮ้อ! แต่ไม่ว่าคนไทยอยู่ไหนก็คือคนไทย เราก็ต้องช่วยเหลือคนไทยด้วยกัน เมื่อคนไทยอยากกลับบ้านต้องได้กลับ
อ่านมาขนาดนี้แล้ว ขอกำลังใจให้ สถานทูตไทยในบาห์เรน องค์กรทำดี และ ปคม. (ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์) ด้วยนะคะ! เราจะสู้ต่อไปค่ะ!


กลับไปหน้าหลักค่ะ

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สาวสองพันปี & นักธุรกิจร้อยล้าน นวลปรางค์ ตรีชิต ความสุขไม่ได้อยู่ที่ทรัพย์สินเงินทอง



เรื่องนี้ ขอรวบรวมทุกอย่างเกี่ยวกับ เซเล็บคนเก่งในหัวใจค่ะ(ไม่เกี่ยวกับ"คนพัทยา" ค่ะ)แต่อยากให้ผู้หญิงที่มีสามีฝรั่ง ไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอก ควรดูไว้ วิธีคิดของเธอไม่ธรรมดาจริง ๆ







  


                         




จากเวทีนางงามก้าวสู่อาชีพนางแบบที่โด่งดัง แม้ชีวิตคู่ล้มเหลวก็ไม่ได้ทำให้ทุกข์ใจใดๆ แต่กลับเป็นแรงผลักดันให้เป็นเจ้าของธุรกิจเสริมความงามและร้านก๋วยเตี๋ยวแสนอร่อย ชีวิตประสบความสำเร็จเพราะมีลูกชายเป็นเหมือนพลังใจให้ก้าวเดินอย่างแข็งแกร่ง 

ในวงการดารา-นางแบบรุ่นใหญ่ไม่มีใครไม่รู้จัก ตุ๋ย-นวลปรางค์ ตรีชิต เจ้าของธุรกิจด้านสุขภาพ แจ้งเกิดจากเวทีแคตวอล์กจนมีชื่อเสียงโด่งดัง ปัจจุบันยังเป็นผู้ดำเนินรายการโกลเด้นคลับ ความรู้เพื่อการดูแลสุขภาพ ทางสถานีดาวเทียม H-Plus Channel แม้อายุเข้าสู่เลข 5 เธอก็ยังสวยไม่สร่าง จนใครต่อใครมอบฉายา “สาวสองพันปี”
ธุรกิจเสริมความงาม & ก๋วยเตี๋ยว 

เรียกว่าประสบความสำเร็จจากทุกธุรกิจที่ทำ อย่างแฟรนไชส์ Daily Nail ร้านตกแต่งเล็บ “แอทเนล บาย นวลปรางค์ ตรีชิต” ที่ขยายไป 3 สาขา ทั้งทาวน์อินทาวน์ โรบินสัน รัชดา และเอสพลานาด รัชดา รวมทั้งร้านทำผม และร้านก๋วยเตี๋ยว “นวลปรางค์นู้ดเดิ้ลบาร์แอนด์กริล” ที่เมเจอร์ อเวนิว รัชโยธิน 
ตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ผันตัวเองจากดารามาเป็นนักธุรกิจเธอมีวิธีบริหารจัดการอย่างไร “ใช่ว่าดาราจะไม่มีปัญหาในการทำธุรกิจ ถ้าต้องเจออุปสรรคขอให้ค่อยๆ แก้ เพราะวิกฤตเศรษฐกิจอย่างนี้ทุกคนโดนหมด ขอเพียงพยายามประคับประคองธุรกิจให้อยู่รอดให้ได้ อาจจะไม่ดีที่สุด แต่ให้มองธุรกิจที่เข้ากับยุคสมัย อย่าทำอะไรตามแฟชั่น ทำอะไรก็ได้ที่เหมาะกับปัจจุบัน ยุคที่คนประหยัดกันมาก อะไรที่เป็นเรื่องสิ้นเปลืองเขาก็จะตัดออก แล้วสิ่งสำคัญต้องเลือกงานที่คุณรักจริงๆ ไม่ใช่ทำตามความนิยม แล้วจะอยู่กับมันได้นาน” คุณตุ๋ยบอกเคล็ดลับส่วนตัว 

  จากเวทีนางงามสู่อาชีพเดินแบบ 

ย้อนประวัติ นวลปรางค์ ตรีชิต เกิดวันที่ 30 กรกฎาคม 2501 ก่อนเข้าวงการถูกชักชวนให้ไปประกวดนางงาม “ตอนนั้นอายุประมาณ 14-15 เริ่มต้นจากการประกวดนางงาม ในรุ่นนั้น ศิริขวัญ นันทศิริ ได้อันดับ 1 ส่วนตุ๋ยตกรอบ (หัวเราะ) ตอนนั้นเราเด็กที่สุด โตยังไม่เต็มที่ แต่หน้าตาเราคงไปโดนใจเขา ก็เลยได้รับตำแหน่งขวัญใจช่างภาพ ตอนนั้นเรียกว่าขวัญใจยามาฮ่า ซึ่งเป็นสปอนเซอร์ให้เราได้เรียนดนตรีฟรี” ถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตที่เป็นจุดเริ่มต้นในการก้าวสู่อาชีพนางแบบด้วยการถ่ายปกนิตยสาร จากนั้นก็มีแมวมองมาชวนให้ไปเป็นนางแบบอาชีพ 

เธอเป็นนางแบบในยุคเดียวกับ ลินดา ค้าธัญเจริญ, เพ็ญพร ไพฑูรย์, รุ่งนภา กิตติวัฒน์, วันทิพย์ ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม และ ดวงตา ตุงคะมณี จากการชักชวนของ ทอม เชื้อวิวัฒน์ ช่างภาพชื่อดังในยุคนั้น เธอถูกจัดเป็นนางแบบชั้นแนวหน้า ด้วยบุคลิกที่โดดเด่น สง่างาม ใบหน้าสวยหวาน แต่ดูหยิ่งนิดๆ บวกกับท่วงท่าการเดินแบบสง่าราวกับนางพญา ดึงดูดสายตาผู้ที่ได้เห็นเสมอ ทำให้เธอมีทั้งงานเดินแบบให้กับห้องเสื้อต่างๆ รวมทั้งเดินแบบให้โรงแรมเฟิสต์คลาสในยุคนั้น เช่น โรงแรมเอเชีย บางกอกพาเลส ดุสิตธานี ฮิลตัน เชอราตัน ฯลฯ ไปจนถึงมีงานถ่ายแบบลงนิตยสารชั้นนำต่างๆ ทั้งสตรีสาร กุลสตรี ขวัญเรือน และหญิงไทย นิตยสารสำหรับผู้หญิงนำสมัย เช่น สาวสยาม สาวสวย และนิตยสารในแวดวงแฟชั่นและนางแบบ เช่น ลลนา แพรว เปรียว เป็นต้น 

ขณะที่กำลังรุ่งกับอาชีพนางแบบ ด้วยหน้าตาที่สะสวยจึงเข้าตานักปั้นดาราอย่าง อารีย์ นักดนตรี อดีตนางเอกละครโทรทัศน์และนักจัดละครชื่อดัง ผู้ปลุกปั้น ลินดา ค้าธัญเจริญ และ กาญจนา จินดาวัฒน์ สู่เส้นทางบันเทิง 

“ตอนนั้นเป็นท็อปโมเดลเลย ช่วงนั้นไม่ค่อยมีนางแบบมากมายเหมือนสมัยนี้ เดินแบบหน้าจะซ้ำๆ กัน แต่พอลินดาเข้าไปเล่นละครกับ อารีย์ นักดนตรี ก็พาเราไปด้วย พอคุณอารีย์เห็นก็บอกว่าหน้าตาเราเหมาะกับบทนี้ สนใจไหม เพราะคาแรกเตอร์เราไม่ใช่ผู้หญิงเรียบร้อย แต่บทดี เป็นนักเรียนนอก ไม่ใช่นางเอกเรียบร้อยแบบ รัชนู บุญชูดวง, อุทุมพร ศิลาพันธ์, เดือนเต็ม สาลิตุล เป็นนางเอกแบบที่ถูกตามใจ จะเอาอะไรต้องเอาให้ได้” สุดท้ายเธอได้แจ้งเกิดจากบทบาทในละคร “กุหลาบไร้หนาม” ตามด้วย “สามอนงค์” ที่โด่งดังจนมีผลงานละครมากมายในเวลาต่อมา 

จากวันนั้นจวบจนวันนี้ที่อายุเข้าสู่เลข 5 ทว่าอดีตนางแบบรุ่นใหญ่ก็ยังดูแลผิวพรรณให้สวยใสและรักษารูปร่างให้ฟิตเปรี๊ยะอยู่เสมอ “ก็พยายามนอนแช่ฟอมอลีน(?)เอาไว้ค่ะ” เธอตอบติดตลกพลางหัวเราะชอบใจ เรียกเสียงครื้นเครงได้รอบวงสนทนา เมื่อถามถึงเคล็ดลับของสาวสองพันปี 
  /// บทเรียนชีวิตคู่ 

สำหรับชีวิตส่วนตัวเคยใช้ชีวิตคู่อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเกือบ 10 ปี ก่อนจะร้างรากันไป “จริงๆ ตัวเองอยู่ในวงการนี้สั้นมาก เข้าวงการอายุประมาณ 15 ได้ทำงานจริงจังประมาณ 18 เริ่มมีชื่อเสียงตอนอายุ 20 พออายุ 25 ก็แต่งงานแล้วไปใช้ชีวิตอยู่ที่ซานฟรานซิสโก ทำร้านอาหารไทยอยู่ 3 สาขา ร้านมินิมาร์ต และอพาร์ตเมนต์ ซึ่งล้วนเป็นธุรกิจของสามีทั้งหมด เราก็ไปช่วยกันดูแล แต่ตอนที่เราไปไม่ใช่ยุคบุกเบิก มีคนปูทางเอาไว้ให้หมดแล้ว คือทางครอบครัวสามีถือเป็นรุ่นลำบาก ไปก่อร่างสร้างตัวเอาไว้ พอเราไปถึงเป็นช่วงที่ธุรกิจเขาดำเนินไปได้ดีแล้ว ก็เลยมีหน้าที่ไปคอยดูแลร้าน ใช้ชีวิตเป็นแม่บ้าน ดูแลลูกชายคนเดียวคือ น้องดีน (ดีน ประมวญผล) ชีวิตไม่ฟู่ฟ่าเหมือนตอนอยู่เมืองไทย แต่ก็มีความสุขกับชีวิตแบบนั้น” สุดท้ายได้ใช้ชีวิตคู่อยู่ที่อเมริกา 14 ปีในฐานะภรรยาเจ้าของร้านที่ช่วยดูแลธุรกิจต่างๆ ของสามีและลูกชายเพียงคนเดียว ก่อนจะตัดสินใจแยกทางกันและบินกลับเมืองไทย 

“ตอนนี้กลับมาอยู่เมืองไทยได้ 15 ปีแล้ว สำหรับเรื่องชีวิตคู่ การที่ผู้หญิงคนหนึ่งตัดสินใจแต่งงาน มีครอบครัว คงไม่มีใครอยากหย่า แต่เราเข้าใจซึ่งกันและกัน คุยกันด้วยเหตุผล ในเมื่อเขาไปพบคนใหม่ และคิดว่าใช้ชีวิตคู่กับเราต่อไปไม่ได้ เขาก็มาบอกเราตรงๆ พูดตอนนี้เหมือนกับว่าเราทำใจได้ แต่กว่าจะผ่านช่วงนั้นมาได้ก็ลำบากเหมือนกัน ต้องใช้เวลานานในการปรับตัว และพยายามเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น จนตอนนี้ไม่มีอะไรติดค้างในใจแล้ว ถึงเขาจะเป็นคนผิดก็ให้อภัยไปหมด กลายมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เขายังคงทำหน้าที่พ่อของลูกได้อย่างดี ถามว่าตัดสินใจว่าจะหย่าหรือไม่ ใช้เวลาไม่นานหรอก เพราะความที่เขาพร้อมจะหย่าอยู่แล้ว เราดูแล้วว่าในเมื่อคนเขาไม่มีใจ เขาอยากจะไปแล้ว ยื้อไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ใช่ว่าเราไม่พยายาม ตัวเองพยายามปรับตัวในสิ่งที่เขาไม่ชอบ แต่มันก็สายไป ดังนั้นเรื่องการหย่าตัดสินใจไม่ยากเลย ยากตรงที่ว่าเราจะตัดสินใจอยู่เมืองไหนต่อไปต่างหาก คิดหลายตลบเหมือนกัน 

“สุดท้ายตกลงกลับมาอยู่เมืองไทย เพราะอยู่ที่นั่นอย่างไรก็เป็นญาติพี่น้องของเขา ธุรกิจก็เป็นของเขา กลับมาที่นี่อย่างไรก็ญาติพี่น้องเรา จนถึงวินาทีนี้ก็รู้สึกดีใจ คิดว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้วที่กลับมา และเริ่มต้นธุรกิจของเราด้วยตัวเอง ตอนที่ตัดสินใจเลิกกับสามี ลูกชายเพิ่งอายุ 7 ขวบ ยังเด็กอยู่ แต่คิดว่าเขาคงพอจะเข้าใจบ้าง จนตอนนี้อายุ 22 แล้ว กำลังเรียนวิศวะอยู่ที่ออสเตรเลีย ตัวเองเป็นแม่ที่เลี้ยงลูกเหมือนเพื่อน เคยบอกกับเขาว่า หนูเคยมีเพื่อนอยู่ประเภทหนึ่งไหมที่แบบว่าเดี๋ยวกัดกัน เดี๋ยวก็ทะเลาะกัน เดี๋ยวก็งอนกัน เสร็จแล้วก็ง้อกัน แต่ยังไงก็ทิ้งกันไม่ลง กับลูกจะอารมณ์ประมาณนั้น ไม่ใช่ว่ามานั่งกลัวแม่ แต่มีเรื่องอะไรจะพูดกันตรงๆ พอเขาโตเป็นวัยรุ่นแล้วก็จะไม่ติดแม่เหมือนเมื่อตอนเด็กๆ เขาจะมีชีวิตของตัวเอง เราก็มีชีวิตของเรา แต่เราสองคนเข้าใจกันดี ทุกวันนี้สอนลูก ลูกอยากทำอะไร แล้วไม่เดือดร้อนใคร ทำไปเลย ตอนที่กลับมาเมืองไทยนั้นอายุ 39 ปี จะให้ไปเดินบนเส้นทางสายมายาเต็มตัวแบบเก่าก็คงไม่ได้ จึงตั้งใจไว้แล้วว่าจะลงทุนเปิดธุรกิจของตัวเอง” ย้อนอดีตด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย หากแววตาระคนเศร้าอยู่ลึกๆ 

 เคล็ดลับวางตัวในวงการ 

สำหรับการวางตัวในวงการบันเทิงเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะหากใครมองข้ามตรงจุดนี้อาจส่งผลให้ไม่ยั่งยืนกับอาชีพนางแบบหรือนักแสดง “แรกๆ ทุกคนคงวางตัวลำบาก หลงระเริงกันทั้งนั้นแหละ เพราะเกิดมาไปไหนมาไหนไม่มีใครรู้จัก แต่พอมีชื่อเสียงไปไหนก็จะมีคนสะกิดกัน นั่นๆ นวลปรางค์ มันก็เลยมีช่วงเหลิง แต่ว่าเหลิงที่เราเป็นนั้นเหลิงจนเกินให้อภัยหรือเปล่า ถ้าเหลิงเกิน คนก็จะไม่รับแล้ว 

“เรื่องหลงตัวเองคิดว่าทุกคนต้องมีอยู่แล้ว ยิ่งตอนสาวเราสวยก็ต้องมีสวย เริด เชิด หยิ่ง อยู่ที่ว่ามากหรือน้อย แต่ว่าตัวเองคงน้อย ไม่อย่างนั้นป่านนี้คงลือกันไปหมดแล้วว่าเราร้าย อยู่ตรงนี้วงการมายามีคนรักก็มีคนเกลียด ดังนั้นอยู่วงการมายาต้องทำใจ แต่เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เราต้องเคารพสถานที่ เคารพผู้ใหญ่ เคารพผู้กำกับ ถึงเราจะแก่กว่า รู้มากกว่าว่าต้องเป็นแบบนี้ ตรงนี้ แต่เราต้องรู้ว่ามันไม่ใช่หน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราต้องแสดงตามที่ผู้กำกับบอก และที่สำคัญต้องตรงต่อเวลา ไม่ใช่ให้ทั้งกองถ่ายต้องรอเราเพียงคนเดียว 

“สมัยก่อนอารมณ์เหวี่ยงก็มีบ้าง คิดว่าทุกคนต้องมีอยู่แล้ว เพราะเราไม่ใช่แม่พระ (หัวเราะ) การปรับตัวบางครั้งเวลามันสอนเรา เพราะเราอยู่ไปนานๆ จะรู้ว่ามันก็แค่นี้เอง ทำดีก็ได้ดี ทำไม่ดีก็ได้ไม่ดี เพราะทำอะไรคงไม่สำเร็จทันที แต่ทุกอย่างอยู่ที่การเรียนรู้ มีผิดพลาด มีถูกต้อง อยู่ที่ว่าเรากลับมาได้เร็วขนาดไหน กลับมาเร็วก็เป็นกำไรของเรา แล้วถ้าเราไม่มีเงินก็ต้องช่วยตัวเองให้ได้ก่อน ก่อนที่จะไปขอคนอื่น คือตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน ไม่เคยไปของานใครทำ เพราะไม่ต้องการให้ใครอึดอัดใจ แต่ถ้าเขาเห็นว่าเหมาะสมกับบทเดี๋ยวเขาก็ติดต่อมาเอง จริงๆ ก็ไม่เดือดร้อน เพราะเรามีงานประจำทำ แล้วใช่ว่ามีเงินเป็นพันล้านแล้วจะมีความสุข เห็นคนมีเงินน้อยก็มีความสุขเยอะแยะ บางคนมีเงินมากมายก็ใช่จะมีความสุข ดังนั้นความสุขอยู่ที่ตัวเรา ความสุขไม่ได้อยู่ที่ทรัพย์สินเงินทอง” 

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความสุขในชีวิตของอดีตนางแบบชื่อดังที่ประสบความสำเร็จทั้งอาชีพการงาน และรายล้อมด้วยเพื่อนที่รักและหวังดี ที่สำคัญมีลูกชายที่ดีคอยเป็นกำลังใจให้เธอสู้แบบไม่ถอยนั่นเอง 

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

เมืองไทยสวรรค์อาชญากรข้ามชาติ

เมืองไทยสวรรค์อาชญากรข้ามชาติ นโยบายท่องเที่ยว "เปิดเสรี" ตั้งเป้าหมาย ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยว 10 ล้านคนต่อปี ทำให้นักท่องเที่ยวเข้ามามาก แต่พวกอาชญากรที่แฝงเข้ามา ในรูปของนักท่องเที่ยวเข้ามามากมาย ถึงเวลาแล้ว ที่ต้องกวาดล้าง กลุ่มอาชญากรข้ามชาติ อย่างจริงจังด้วย ใช้กฎหมายเข้มข้น
อาชญากรต่างชาติให้ข้อมูลว่า กล้าเข้ามาก่อเหตุในไทย เพราะกฎหมายไทย ไม่รุนแรง คนไทยใจดี นอกจากนี้ยังมีปัญหาว่า เมื่อพนักงานสอบสวน จะไม่ตั้งข้อหาความผิด อาชญากรรมข้ามชาติ แต่จะแจ้งข้อหาลักทรัพย์ ซึ่งศาลจะพิจารณาให้ประกันตัวได้ง่าย ส่วนคดีเกี่ยวกับการสกิมมิงบัตรผู้เสียหาย อยู่ไม่อยู่ในประเทศไทย ทำให้คดีมีโทษต่ำ เมื่อได้รับการประกันตัว ในชั้นสอบสวน คนร้ายจะหลบหนี และกลับออกไป ล้างประวัติ เพื่อย้อนกลับเข้ามาก่อเหตุซ้ำ
แก๊งลูกหมู ...ลูกแพะ ... ลูกหมี อาละวาดหนัก ลักลอบนำเข้าแรงงาน ผิดกฎหมาย ปลอมหนังสือเดินทาง เชื่อมโยงการก่อการร้าย ประกอบด้วย 3 กลุ่มใหญ่ จะมีพื้นที่อิทธิพลแบ่งเฉลี่ยความรับผิดชอบ ส่วนใหญ่จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลัก โดยเฉพาะพัทยาและภูเก็ต
-แก๊งลูกหมี ประกอบด้วย รัสเซีย ยูเครน อุซเบกิสถาน .....ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่แยกตัวจากสหภาพโซเวียต จะชอบขยายอิทธิพล ทางธุรกิจผิดกฎหมายข้ามชาติ แก๊งรัสเซีย จะมีความเชี่ยวชาญ และมีเทคโนโลยีทันสมัย ในการสกิมมิงข้อมูลภายในบัตรเครดิต ใช้เวลาเพียง 30 วินาทีเท่านั้น จากนั้นก็จะนำบัตรปลอม ไปตระเวนกดเงิน
-แก๊งลูกแพะ ประกอบด้วย ปากีสถาน อินเดีย บังคลาเทศ ... ทั้งนี้ส่วนใหญ่ เป็นประเทศจากกลุ่มประเทศเอเชียใต้ ฝีมือขั้นเทพ ในการปลอม "พาสปอร์ต” ทำได้แนบเนียนที่สุด โดยจะไม่ปลอมพาสปอร์ตยกเล่ม แต่จะจ้องขโมย จากนักท่องเที่ยว หรือรับซื้อพาสปอร์ตของนักท่องเที่ยว ซึ่งบางคนมีเจตนาขาย เพื่อหาเงินนำมาท่องเที่ยว
*แก๊งลูกหมู ประกอบด้วย สาธารณรัฐประชาชนจีน ไต้หวัน ฮ่องกง จะมีความชำนาญในการปลอมแปลง “บัตรเครดิต” มากที่สุด โดยเฉพาะ “ฮ่องกง” และอาจจะร่วมถึง “มาเลเซีย” ที่มีความสามารถ ในการปลอม “บัตรเครดิต” ติดลำดับท็อปไฟว์ด้วย
ผลวิจัยอาชญากรรมข้ามชาติ สถาบันเพื่อการยุติธรรมฯ แฉ มีมากถึง 22 แก๊งเข้ามาก่ออาชญากรรม ในประเทศไทย พบตั้งแต่ปลอมบัตรเอทีเอ็ม ลักทรัพย์ หลอกลวงต้มตุ๋น โจรกรรม อึ้ง! แก๊งเวียดนามขโมยไอโฟนได้ตก 50 เครื่องต่อวัน สาเหตุที่อาชญากรกล้าเข้ามาก่อเหตุ! เพราะกฎหมายไม่รุนแรง และคนไทยใจดี
- แก๊งโรมาเนีย นำเครื่องปลอมแปลงบัตร จาก สเปนเข้ามาทาง ภาคใต้ของไทย โดยการจัดส่งทางพัสดุไปรษณีย์ จากนั้นนำเครื่องสกิมเมอร์ ไปติดตู้เอทีเอ็ม ในแหล่งท่องเที่ยว โดยเฉพาะย่านสุขุมวิท และนำข้อมูลที่ได้ ไปทำบัตรปลอมรูดซื้อ ทองรูปพรรณหรือคอมพิวเตอร์ที่ห้างสรรพสินค้า ร้านอัญมณี พร้อมทั้งถอนเงินสด เพื่อนำกลับประเทศ
- แก๊งชาวเยอรมัน ออสเตรเลีย และสเปน จะโจรกรรมข้อมูลผ่านระบบอินเทอร์เน็ต โดยการใช้ไวรัสเข้าไปแฮ็กข้อมูล เจาะรหัสล็อกอิน และพาสเวิร์ดของเจ้าของบัญชี ขณะทำธุรกรรมผ่านระบบอินเทอร์เน็ตจากทั่วโลก เมื่อได้เงินมาคนร้าย จะโอนเงินต่อไปยังบัญชีนอมินีในรัสเซีย
- แก๊งชาวฝรั่งเศสและชาวอังกฤษ จะนำบัตรเครดิต ที่จารกรรมข้อมูลลูกค้า ในฝรั่งเศส และประเทศแถบสแกนดิเนเวีย มากดเงินสดในตู้เอทีเอ็ม ตามจังหวัดท่องเที่ยวของไทย แก๊งคนร้ายนำ กล้องขนาดจิ๋ว หรือเครื่องสกิมเมอร์มือถือ ขนาดเล็กเท่าไฟแช็กไป ดูดข้อมูลบัตรลูกค้า โดยวิธีการเข้าไปตีสนิท และขอดูบัตรเครดิตจากเหยื่อ แล้วแอบบันทึกข้อมูล นำไปทำบัตรปลอม เพื่อนำไปกดเงินในประเทศที่ 3
- แก๊งอาชญากรจาก กลุ่มประเทศในทวีปอเมริกาใต้ และแก๊งแขกขาวจะเข้ามา ก่ออาชญากรรมพื้นฐานในรูปแบบ การโจรกรรมทรัพย์สินในบ้านพัก เจาะตู้เชฟ และโจรกรรมเครื่องเพชร มีแก๊งใหญ่ 4 แก๊ง ได้แก่ 1.แก๊งโคลอมเบีย จะเข้ามาก่อเหตุโจรกรรม ตามบ้านจัดสรร ด้วยการตระเวนขับรถติดแผ่น ป้ายทะเบียนปลอม 2.แก๊งเม็กซิกัน กัวเตมาลา และเปรู จะเข้ามาโจรกรรมรถยนต์ ทรัพย์สินในบ้านพัก โรงแรม และโจรกรรมเพชร ตามงานแสดงอัญมณีต่างๆ 3.แก๊งแอฟริกา จะหลอกว่ามีน้ำยาล้างเงินดำ 4.แก๊งอิรัก-อิหร่าน มีความชำนาญในการขโมยทรัพย์สิน ลูกค้าในโรงแรม โดยปลอมหนังสือเดินทาง มาเช่าห้องพักแล้วก๊อบปี้กุญแจไว้ เพื่อเข้ามาลงมือขโมยทรัพย์สิน นักท่องเที่ยวที่เข้าพักโรงแรมในภายหลัง
- แก๊งจากในแถบประเทศ อาเซียนด้วยกัน มีแก๊งเวียดนาม กัมพูชา และลาว ซึ่งเวียดนามชำนาญมาก เพราะถึงขนาดมีโรงเรียน สอนกรีดกระเป๋า วิ่งราวทรัพย์ โดยจะหมายตาโทรศัพท์ ไอโฟน ซึ่งเลือกลงมือ ในห้างสรรพสินค้าหรูย่านสยาม และงานคอนเสิร์ต ของศิลปินระดับโลกที่เข้ามาจัดงานในไทย สามารถขโมยไอโฟนได้ถึง 50 เครื่องต่อวัน รวมทั้งก่อเหตุลักทรัพย์ ขโมยรถมอเตอร์ไซค์ ข้ามแดน แก๊งอินโดนีเซียจะมีความชำนาญ เรื่องทุบรถยนต์เพื่อโจรกรรม ของมีค่าในรถ


วารีนา ปุญญาวัณน์
กลับไปหน้าแรก

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2558

ยิวยึดประเทศไทยแน่ หลังบุกยึดแหล่งท่องเทียวหลัก


พระเจ้าช่วยกล้วยเน่า ....... ยิวยึดประเทศไทยแน่ หลังบุกยึดแหล่งท่องเทียวหลัก เฉพาะในพัทยา "ยิว "บุกยึดหนักสุด หลังจากสร้างปัญหา รุกพื้นที่ทะเลและ บังทิวทัศน์อ่าวพัทยา ทุนยิวกลุ่มใหม่ " Global Top Group Co.,Ltd " ประกาศแผน ทุ่มทุนก้อนใหม่อีก 3,300 ล้านบาท ต่อเนื่อง คุยดีมานด์ใหม่ เป็นลูกค้าจีนมาแรง

Global Top Group เป็นกลุ่มนักธุรกิจ จากอิสราเอล เริ่มธุรกิจที่ประเทศไทยเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา ด้วยการ ซื้อขายที่ดินในพัทยา หลังปี 2547 ได้เริ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โครงการแรกภายใต้แบรนด์ซิตี้ การ์เด้น พัทยา ที่ผ่านมาไปโรดโชว์ ที่เมืองเสิ่นเจิ้น ประเทศจีน และ ก.ย. นี้ จะไปโรดโชว์ ที่เมืองคุนหมิงและสิงคโปร์

ผู้ประกอบการจากอิสราเอล ในพัทยาขณะนี้มีอย่างน้อย 4 กลุ่มคือ Global Top Group Co.,Ltd , กลุ่ม Matrix กลุ่ม Tulip Group และกลุ่ม Heights Holding รองรับ การหลั่งไหลของ นักลงทุนชาวรัสเซีย ชาวออสเตรเลีย สิงคโปร์ จีนและแม้แต่ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ที่ซื้อห้องชุดมากมาย

การลงทุนจาก ผู้ประกอบการ "ต่างชาติ" ซึ่งรุกเข้ามาร่วมทุน กับเจ้าของที่ดิน ในลักษณะ "ร่วมทุน" ตั้งบริษัทผู้ประกอบการ แยกเป็นรายแปลง แต่ละโครงการ โดยเจ้าของที่ดิน ในฐานะเป็นผู้ถือหุ้นฝ่ายคนไทย ตามกฎหมาย 51% ตีจากมูลค่าราคาที่ดิน เป็นสัดส่วนหุ้น ในขณะที่ทุนต่างชาติ จะรับหน้าที่เป็นผู้พัฒนาโครงการ บริหารการตลาด และงานก่อสร้าง ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นการพัฒนาและขาย โดยเน้นลูกค้าชาวต่างชาติ เป็นหลัก ซึ่งยึดกรอบกฎหมายพรบ.อาคารชุด ที่เปิดให้ต่างชาติ ถือครองกรรมสิทธิ์ได้ไม่เกิน 49% ที่เหลือ 51% ของพื้นที่ขาย ต้องถือโดยคนไทย หรือบริษัทนิติบุคคล ที่จดทะเบียนในประเทศไทย

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558

อายัดทรัพย์เครือข่ายอาชญากรข้­ามชาติ ชาวเนเธอร์แลนด์

(BANGKOK 23/07/2557, http://news.thaipbs.or.th)
เจ้าหน้าที่อายัดทรัพย์เครือข่ายอาชญากรข้­ามชาติ ชาวเนเธอร์แลนด์พร้อมภรรยาชาวไทย ในจังหวัดชลบุรี หลังมีพฤติกรรม เปิดร้านกาแฟบังหน้าแต่ลักลอบค้ายาเสพติด และนำเงินมาลงทุนในไทย 


------------------------------------------------------------------------------------------------------------

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2558

สุขอยู่ที่ใจ


คุณยากจน แต่ยังมีคนติดตาม นี่คือความสุข
คุณป่วย แต่ยังมีคอยดูแล นี่คือความสุข
คุณหนาว แต่ยังมีคนคอยกอด นี่คือความสุข
คุณร้องไห้ แต่ยังมีคนคอยปลอบใจ นี่คือความสุข
คุณแก่ตัว แต่ยังมีใครอยู่เป็นเพื่อน นี่คือความสุข
คุณผิด แต่ยังมีคนให้อภัยคุณ นี่คือความสุข
คุณเหนื่อย แต่ยังมีคนคอยเอาใจ นี่คือความสุข
ความสุข ไม่ได้อยู่ที่คุณสามารถดึงคนมารุมล้อมคุณได้กี่คน? แต่อยู่ที่ใครสักกี่คนยินดีเข้ามารุมล้อมคุณต่างหาก
ความสุข ไม่ได้อยู่ที่คุณขับรถหรูหราเพียงใด แต่อยู่ที่ยามที่คุณขับขี่คุณขับกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย!
ความสุข ไม่ได้อยู่ที่บัญชีเงินฝากของคุณมีเงินมากเท่าใด? แต่อยู่ที่คุณเป็นอิสระทั้งกายและใจได้ทุกวัน ทำในสิ่งที่คุณรักด้วยความเบิกบาน!
ความสุข ไม่ได้อยู่ที่คู่ชีวิตของคุณสวยหล่อเพียงใด? แต่อยู่ที่ยามพบหน้าคู่ชีวิตต่างก็มีรอยยิ้มพิมพ์ใจ!
ความสุข ไม่ได้อยู่ที่คุณเป็นข้าราชการตำแหน่งใหญ่โตเพียงใด? แต่อยู่ที่ไม่ว่าคุณเดินย่างไปที่ใด ใครๆก็สรรเสริญว่าคุณเป็นคนดี!
ความสุข ไม่ได้อยู่ที่อยู่ดีกินดีเพียงใด? แต่อยู่ที่ปราศจากทุกข์ปราศจากโรคภัย!
ความสุข ไม่ได้อยู่ที่เสียงปรบมือยามคุณประสบความสำเร็จว่ากึกก้องเพียงใด? แต่อยู่ที่ยามคุณล้มแทบมลาย ยังมีคนข้างๆคอยห่วงใย “เพื่อนเอ๋ย สู้ๆ”แล้วยิ้มให้
ความสุข ไม่ได้อยู่ที่คุณเคยฟังคำหวานหูมามากมายเพียงใด? แต่อยู่ที่ยามคุณร้องไห้เสียใจ ยังมีคนข้างๆคอยปลอบใจ “ไม่ต้องคิดมาก ฉันยังอยู่เคียงข้างเธอ”
.........................
สักวันหนึ่งเราจะเข้าใจ ทรัพย์สินเงินทองไม่ใช่ที่สุดของความสุข!
เพื่อนเอ๋ย รู้พอใจได้ความสุข...

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558

20 ข้อ ที่ควรรู้และปฏิบัติก่อนอายุ 45

1. ไม่ต้องตั้งใจเรียนมากไปในสายวิชาที่ตนเลือก แต่ภาษาอังกฤษจำเป็นมากๆจงให้ใส่ใจส่วนวิชาอื่นๆ เอาแค่ดีพอหางานดีๆทำก็พอเพราะโลกแห่งความเป็นจริงวัดกันที่ผลงานไม่ใช่ที่เกรด
แต่ภาษาอังกฤษสร้างผลงานได้
2. การทำกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยนั้นสำคัญมากพอๆ กับการคร่ำเคร่งหน้าตำราเรียน
3. เลือกงานที่เราชอบนั้นใช่แต่อย่าลืมด้วยว่าอาชีพนั้นสามารถเลี้ยงดูตัวเราได้จริงหรือเปล่าถ้าไม่ใช่ก็อย่าหลอกตัวเอง
4. เมื่อถึงวัยทำงานใครเก็บเงินก่อนรวยเร็วกว่าและสิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ คือ "ชีวิตที่ไม่มีหนี้ คือชีวิตที่ประเสริฐที่สุด"
5. หาเป้าหมายในชีวิตให้เจอโดยเร็วที่สุดเพราะมันจะเป็นเครื่องนำทางของคุณในชาตินี้ตลอดไป
6. ซื้อบ้านก่อนที่จะซื้อรถเพราะบ้านมีแต่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นรถมีแต่มูลค่าลดลงชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า รถ=ลด
7. ดอกเบี้ยบ้านนั้นมหาโหดมากรีบใช้ให้หมดโดยเร็วพลันก่อนที่จะแก่แล้วผ่อนไม่ไหว
8. การเก็บเงินเป็นแค่บันไดขั้นแรกสู่ความร่ำรวยแต่ขั้นต่อมาคือต้องรู้จักลงทุน.อย่าลืมคบกับที่ปรึกษาการเงินไว้เป็นเพื่อน
9. อย่าเป็นศัตรูกับใครก็ตามบนโลกใบนี้เพราะคุณจะไม่มีทางรู้ว่าวันหนึ่งเขาอาจจะยิ่งใหญ่มาก จนกลับมาทำร้ายคุณก็เป็นได้
10. คอนเน็คชั่นหรือสายสัมพันธ์เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆต่อให้เก่งแค่ไหนก็สู้การมีเพื่อนเยอะไม่ได้
11. ควรมีงานทำมากกว่า 1งานเพราะความมั่นคงไม่เคยมีบนโลกใบนี้
12. อย่าคิดว่าตัวเองทำอะไรได้แค่อย่างเดียวเพราะความสามารถของคนเรามีมากกว่า 1 เสมอ
13. เมื่อมีโอกาสใดก็ตามเข้ามาจงอย่าปฏิเสธถึงจะล้มเหลวแต่มันก็คือประสบการณ์
14. สร้างเนื้อ สร้างตัวให้ได้เร็วที่สุดในขณะที่คุณยังมีกำลังยังเป็นหนุ่ม-สาวเพราะการฝ่าฟันอุปสรรคในช่วงอายุมากไม่ใช่เรื่องสนุก
15. ออกเดินทางท่องเที่ยวตั้งแต่ยังหนุ่มสาวเพราะเมื่อมีครอบครัว การเดินทางจะเป็นเรื่องยุ่งยากกว่าเดิม
16. เลือกคู่ชีวิตจงคิดให้ดีๆ อย่าดูแต่ข้อดีของเขาแต่ต้องดูด้วยว่าเราสามารถรับข้อเสียของเขาได้มากแค่ไหน
17. การมีแฟนหรือสามีภรรยายังเลิกกันได้แต่ความเป็นพ่อแม่ลูกนั้นเลิกกันไม่ได้เพราะฉะนั้นควรดูแลพวกเขาให้ดีๆ
18. ความสำเร็จที่มากมายแค่ไหนก็ไม่สามารถทดแทนความล้มเหลวของครอบครัวได้
19. ลองหาเวลาอยู่ว่างๆไม่ต้องทำอะไรเลยดูบ้างอย่าแบกโลกทั้งใบไว้คนเดียวและอีกอย่างงานก็ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต
20. สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญอันหนึ่งโปรดถนอมตัวเองให้มากเมื่อยังเป็นวัยรุ่นอย่าใช้ชีวิตให้หนักเกินไป


นิทานเรื่องนี้ดีนะ...ขอมอบให้คนที่ยังติดยึด

กาลครั้งหนึ่ง มีขอทานคนหนึ่งออกขอทานทุกวัน เขาอยากจะมีชีวิตเหมือนคนปกติ เพราะฉะนั้น เขาจึงมักจะขอทานเสบียงกรังและตุนไว้ แต่ว่าเขากักตุนเสบียงมาหลายปี ยุ้งฉางของเขาก็มีเพียงข้าวสารนิดหน่อย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นเช่นนั้น เขาจึงตัดสินใจค้นหาสาเหตุ
คืนวันหนึ่ง เขาแอบอยู่มุมหนึ่งของบ้านและจ้องไปที่เสบียง ในที่สุด เขาเห็นหนูตัวใหญ่มาขโมยกินเสบียงของเขา เขาโกรธมาก ตะโกนไปที่เจ้าหนูว่า"บ้านคนรวยมีอาหารเยอะแยะ แกทำไมไม่ไปกินทำไมเจาะจงมากินอาหารข้าที่กักตุนมาด้วยความลำบาก" เจ้าหนูพูดขึ้นว่า "ชะตาของเจ้ามีข้าวสารได้แค่8ส่วน เดินให้ทั่วหล้า ก็ไม่สามารถมีข้าวได้ครบถัง" ขอทานถามเจ้าหนู "ทำไมเป็นเช่นนั้น"เจ้าหนูตอบว่า "ข้าก็ไม่รู้ เจ้าไปถามพระพุทธองค์สิ
ขอทานจึงตัดสินใจ เดินทางไปทางทิศตะวันตกเพื่อถามพระพุทธองค์ ว่าเหตุผลอันใดถึงมีชะตาชีวิตเช่นนี้
เจ้าขอทานก็ออกเดินทาง เขาขอทานระหว่างทาง เดินทางไปไกลมาก วันหนึ่ง เขาเดินจนฟ้ามืดถึงจะพบบ้านคนหลังหนึ่ง รีบไปเคาะประตู มีพ่อบ้านเดินออกมาถามว่ามีเรื่องอะไร เขาบอกขอข้าวกินหน่อย พอดีเศรษฐีเจ้าของบ้านออกมาเห็นเข้า เลยถามขอทานว่า มืดอย่างนี้แล้วทำไมยังเดินทางอยู่อีก ขอทานจึงเล่าชะตาชีวิตให้เศรษฐีฟัง
บอกว่าจะไปถามเหตุผลกับพระพุทธองค์ เศรษฐีได้ยินดังนั้น รีบเชิญขอทานเข้าไปนั่งในบ้าน ให้เสบียงกรังและเงินกับเขาจำนวนหนึ่ง ขอทานถามว่าทำไมทำเช่นนั้น เศรษฐีจึงเล่าเหตุผลให้ฟังว่า ลูกสาวข้าอายุ16แล้ว ยังพูดไม่ได้ ขอร้องให้เจ้าช่วยถามเหตุผลกับพระพุทธองค์ด้วย
เศรษฐีเคยสาบานว่าใครก็ตามที่ทำให้ลูกสาวพูดได้ เขาก็จะให้ลูกสาวแต่งงานกับคนนั้น ขอทานได้ฟังเช่นนั้น คิดว่าไหนๆก็จะไปหาพระพุทธองค์อยู่แล้ว เราก็ถือโอกาสช่วยถามให้เขาก็ได้ ขอทานจึงรับปากจะถามให้
ขอทานเดินทางต่อไปผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า เดินถึงเขาลูกหนึ่ง เห็นวัดแหืงหนึ่งตั้งอยู่ ก็เลยเข้าไปขอน้ำดื่ม เห็นพระแก่รูปหนึ่งถือไม้เท้าดีบุก ท่าทางแก่มาก แต่ดูกระฉับกระเฉง พระชราให้น้ำเขาดื่มและบอกให้เขาพักผ่อนสักครู่ แล้วถามเขาว่าจะไปไหน ขอทานบอกจุดหมายที่จะไป พระชรารีบจับมือขอทานไว้และพูดว่า ขอร้องเจ้าต้องช่วยถามพระพุทธองค์ให้หน่อย ข้าเข้าฌานฝึกฝนมา 500 กว่าปีแล้ว ตามหลักควรจะขึ้นสวรรค์แล้ว ทำไมยังบินขึ้นไปไม่ได้ ขอทานก็เลยรับปากพระชรา
เดินไปข้างหน้า ผ่านหนทางทั้งห้วยหนองคลองบึง ขอทานมาถึงริมแม่น้ำสายหนึ่ง ในแม่น้ำไม่มีเรือสักลำ ขอทานร้อนรนใจ จะทำอย่างไรดี จะข้ามไปยังไง ขอทานร้องไห้และพูดว่า หรือว่าชีวิตข้าจะต้องลำบากเช่นนี้หรือ 

ทันใดนั้น เต่ายักษ์แก่ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นเหนือน้ำ เต่าแก่พูดภาษาคนได้ ถามขอทานว่ามาร้องไห้ที่นี่ทำไม ขอทานเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เต่าแก่พูดกับเขาว่า ข้าได้เข้าฌานปฏิบัติตนมา 1000 ปีแล้ว ตามหลักน่าจะกลายเป็นมังกรบินไปแล้ว ทำไมยังเป็นแค่เต่าแก่ๆตัวหนึ่ง ถ้าเจ้าไปพบพระพุทธองค์ช่วยถามให้ข้าด้วย ข้าจะให้เจ้าขี่ข้ามแม่น้ำไปฝั่งตรงข้าม ขอทานรับปากด้วยความดีใจ
ขอทานเดินไปจำไม่ได้ว่าอีกกี่วัน แต่ก็หาพระพุทธองค์ไม่เจอ คิดในใจว่าพระพุทธองค์อยู่ไหนนะ แดนสุขาวดีน่าจะถึงแล้ว ขอทานเสียใจมาก เลยผลอยหลับไปแบบงุนงง
ทันใดนั้นพระพุทธองค์ปรากฏองค์ขึ้น ขอทานดีใจมาก พระพุทธองค์ถามขอทานว่า เจ้ามาไกลขนาดนี้ น่าจะมีคำถามอะไรที่สำคัญมากใช่ไหม ใช่เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะถามคำถามหลายคำถาม หวังว่าท่านจะอธิบายให้ข้าน้อยเข้าใจได้ พระพุทธองค์ตอบว่า ได้สิ แต่มีเงื่อนไขหนึ่งนะเจ้าถามได้สูงสุดแค่ 3 คำถามเท่านั้น เพราะว่าไม่เคยมีใครถามเกิน 3 คำถามมาก่อน ขอทานตอบตกลง คิดในใจว่า ข้าจะถามคำถามไหนดีขอทานรู้สึกว่าคำถามของตนเองช่างไม่มีความสำคัญเลย
เต่าแก่เข้าฌานมา1000ปีแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่าย คำถามเขาน่าจะลองถามดู
พระชราปฏิบัติมา500ปี ก็ลำบากมาก คำถามเขาก็น่าจะถามดู
ลูกสาวเศรษฐีช่างน่าสงสารนัก พูดไม่ได้แล้วจะแต่งงานได้ยังไง
คำถามของเขาก็น่าจะถามดู และแล้วขอทานจึงไม่ลังเลที่จะถามคำถามที่1
พระพุทธองค์ตอบเขาว่า เต่าแก่ไม่ยอมสละกระดองของมัน ก็เลยไม่สามารถกลายเป็นมังกรได้ ในกระดองของเต่ามีไข่มุกราตรีอยู่24เม็ด ถ้ามันยอมสละกระดอง มันก็จะกลายเป็นมังกรได้
คำถามที่2 ท่านตอบว่า พระชราถือไม้เท้าวิเศษทั้งวัน ในใจพะวงแต่ไม้เท้าว่าเป็นของวิเศษ ใช้ไม้เท้าเคาะบนพื้น1ที บนพื้นก็จะกลายเป็นธารน้ำใส ถ้าหากพระชรายอมโยนไม้เท้าทิ้ง เขาก็จะขึ้นสวรรค์ได้แล้ว
ขอทานดีใจมาก จึงถามคำถามที่3 ท่านตอบว่า ถ้าเด็กสาวใด้พบคนที่เธอรัก เธอก็จะพูดได้เอง และทันใดนั้นพระพุทธองค์ก็หายไป。

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

21 Rules For a Good Old Age

Some of us have reached our golden years, and some of us have not. But these suggestions should be read by everyone. They have been collected from many a senior, each with his or her own piece of advice. Some you know, some may surprise you, and some will remind you of what's important. So read well, share with your loved ones, and have a great day and a great life!
  • It's time to use the money you saved up. Use it and enjoy it. Don't just keep it for those who may have no notion of the sacrifices you made to get it. Remember there is nothing more dangerous than a son or daughter-in-law with big ideas for your hard earned capital. Warning: This is also a bad time for an investment, even if it seems wonderful or fool-proof. They only bring problems and worries and this is a time for you to enjoy some peace and quiet.
  • Stop worrying about the financial situation of your children and grandchildren, and don't feel bad spending your money on yourself. You've taken care of them for many years, and you've taught them what you could. You gave them an education, food, shelter and support. The responsibility is now theirs to earn their own money.
  • Keep a healthy life, without great physical effort. Do moderate exercise (like walking every day), eat well and get your sleep. It's easy to become sick, and it gets harder to remain healthy. That is why you need to keep yourself in good shape and be aware of your medical and physical needs. Keep in touch with your doctor, get tested even when you're feeling well. Stay informed.
  • Always buy the best, most beautiful items for your significant other. The key goal is to enjoy your money with your partner. One day one of you will miss the other, and the money will not provide any comfort then, enjoy it together.
  • Don't stress over the little things. You've already overcome so much in your life. You have good memories and bad ones, but the important thing is the present. Don't let the past drag you down and don't let the future frighten you. Feel good in the now. Small issues will soon be forgotten.
  • Regardless of age, always keep love alive. Love your partner, love life, love your family, love your neighbor and remember: "A man is not old as long as he has intelligence and affection."
  • Be proud, both inside and out. Don't stop going to your hair salon or barber, do your nails, go to the dermatologist and the dentist, keep your perfumes and creams well stocked. When you are well-maintained on the outside, it seeps in, making you feel proud and strong.
  • Don't lose sight of fashion trends for your age, but keep your own sense of style. There's nothing worse than an older person trying to wear the current fashion among youngsters. You've developed your own sense of what looks good on you - keep it and be proud of it. It's part of who you are.
  • ALWAYS stay up-to-date. Read newspapers, watch the news. Go online and read what people are saying. Make sure you have an active email account and try to use some of those social networks. You'll be surprised which old friends you'll meet. Keeping in touch with what is going on and with the people you know is important at any age.
  • Respect the younger generation and their opinions. They may not have the same ideals as you, but they are the future, and will take the world in their direction. Give advice, not criticism, and try to remind them of yesterday's wisdom that still applies today.
  • Never use the phrase: "In my time". Your time is now. As long as you're alive, you are part of this time. You may have been younger, but you are still you now, having fun and enjoying life.
  • Some people embrace their golden years, while others become bitter and surly. Life is too short to waste your days on the latter. Spend your time with positive, cheerful people, it'll rub off on you and your days will seem that much better. Spending your time with bitter people will make you older and harder to be around.
  • Do not surrender to the temptation of living with your children or grandchildren (if you have a financial choice, that is). Sure, being surrounded by family sounds great, but we all need our privacy. They need theirs and you need yours. If you've lost your partner (our deepest condolences), then find a person to move in with you and help out. Even then, do so only if you feel you really need the help or do not want to live alone.
  • Don't abandon your hobbies. If you don't have any, make new ones. You can travel, hike, cook, read, dance. You can adopt a cat or a dog, grow a garden, play cards, checkers, chess, dominoes, golf. You can paint, volunteer at an NGO or just collect certain items. Find something you like and spend some real time having fun with it.
  • Even if you don't feel like it, try to accept invitations. Baptisms, graduations, birthdays, weddings, conferences. Try to go. Get out of the house, meet people you haven't seen in a while, experience something new (or something old). But don't get upset when you're not invited. Some events are limited by resources, and not everyone can be hosted. The important thing is to leave the house from time to time. Go to museums, go walk through a field. Get out there.
  • Be a conversationalist. Talk less and listen more. Some people go on and on about the past, not caring if their listeners are really interested. That's a great way of reducing their desire to speak with you. Listen first and answer questions, but don't go off into long stories unless asked to. Speak in courteous tones and try not to complain or criticize too much unless you really need to. Try to accept situations as they are. Everyone is going through the same things, and people have a low tolerance for hearing complaints. Always find some good things to say as well.
  • Pain and discomfort go hand in hand with getting older. Try not to dwell on them but accept them as a part of the cycle of life we're all going through. Try to minimize them in your mind. They are not who you are, they are something that life added to you. If they become your entire focus, you lose sight of the person you used to be.
  • If you've been offended by someone - forgive them. If you've offended someone - apologize. Don't drag around resentment with you. It only serves to make you sad and bitter. It doesn't matter who was right. Someone once said: "Holding a grudge is like taking poison and expecting the other person to die." Don't take that poison. Forgive, forget and move on with your life.
  • If you have a strong belief, savor it. But don't waste your time trying to convince others. They will make their own choices no matter what you tell them, and it will only bring you frustration. Live your faith and set an example. Live true to your beliefs and let that memory sway them.
  • Laugh. Laugh A LOT. Laugh at everything. Remember, you are one of the lucky ones. You managed to have a life, a long one. Many never get to this age, never get to experience a full life. But you did. So what's not to laugh about? Find the humor in your situation.
  • Take no notice of what others say about you and even less notice of what they might be thinking. They'll do it anyway, and you should have pride in yourself and what you've achieved. Let them talk and don't worry. They have no idea about your history, your memories and the life you've lived so far. There's still much to be written, so get busy writing and don't waste time thinking about what others might think. Now is the time to be at rest, at peace and as happy as you can be!
AND REMEMBER: "Life is too short to drink bad wine."
********************************
กฎทองของวัยแห่งความสุข
ได้พบ “กฎทอง 21 ข้อของวัยแห่งความสุข” ในอินเตอร์เน็ตและชอบมากจนอดไม่ได้ที่จะนำมาสื่อสารต่อกับผู้สูงวัยทุกท่านครับ
1.ถึงเวลาแล้วที่คุณจะใช้เงินที่หามาได้อย่างยากลำบาก ขอให้ใช้จ่ายและมีความสุขกับเงินของคุณ อย่าคิดแต่จะเก็บไว้ให้คนที่บางทีไม่เคยรู้เลยว่าคุณต้องลำบากเพียงใดกว่าจะหาเงินมาได้ ขอให้จำไว้ว่าไม่มีอะไรจะอันตรายไปกว่าลูกหลานหรือเขยสะใภ้ที่มีไอเดียบรรเจิดกับการเอาเงินเก็บของคุณไปลงทุน วัยนี้ไม่เหมาะกับการลงทุนอย่างยื่ง ไม่ว่ามันจะดูวิเศษแค่ไหน เพราะมีแต่จะทำให้คุณอยู่กับปัญหาและความกังวล เวลานี้คุณควรมีชีวิตที่สุขและสงบได้แล้ว
2.เลิกกังวลกับเรื่องเงินๆทองๆของลูกหลาน ไม่ต้องรู้สึกผิดที่คุณใช้จ่ายเงินเพื่อตัวเอง คุณเลี้ยงเขามานาน สอนเขาทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ให้ทั้งการศึกษา อาหาร ที่อยู่ ดูแลเอาใจใส่ ตอนนี้เป็นหน้าที่ที่เขาจะดูแลรับผิดชอบตัวเองแล้ว
3.เอาใจใส่สุขภาพ แต่อย่าหักโหม ออกกำลังกายปานกลาง เช่นเดินทุกวัน กินดี อยู่ดี นอนให้เพียงพอ เพราะวัยนี้ป่วยง่าย และยิ่งวันเรายิ่งรักษาสุขภาพได้ยากขึ้น สนใจเรื่องทางการแพทย์และยาบ้าง ไปหาหมอสม่ำเสมอ ตรวจร่างกายแม้ในยามที่คุณไม่ได้เจ็บป่วย หาความรู้ทางการแพทย์ไว้ด้วย
4.ซื้อของที่ดีที่สุด สวยที่สุดให้กับคู่ของคุณ ข้อสำคัญคือจงใช้เงินอย่างมีความสุขกับคู่ชีวิตของคุณ เพราะวันหนึ่งจะต้องมีใครคนหนึ่งที่ยังอยู่และคิดถึงอีกคน ถึงเวลานั้นเงินทองก็ไม่อาจให้ความอบอุ่นได้ ฉะนั้น จงมีความสุขร่วมกันเสียแต่วันนี้
5.อย่ากังวลกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ คุณผ่านเรื่องใหญ่ๆในชีวิตมามากแล้ว คุณมีทั้งความทรงจำที่ดีและไม่ดี แต่สิ่งสำคัญคือปัจจุบัน อย่าให้อดีตมาทำให้คุณหดหู่ อย่าให้อนาคตมาทำให้คุณกังวล มีความสุขอยู่กับปัจจุบัน ไม่นานคุณก็จะลืมกังวลกับเรื่องเล็กๆน้อยๆเหล่านั้น
6.ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ จงหล่อเลี้ยงความรักไว้เสมอ รักคู่ของคุณ รักชีวิต รักครอบครัว รักเพื่อน(บ้าน) ขอให้จำไว้ว่า คนเราจะไม่มีวันแก่ตราบใดที่ยังมีสมองและมีความรัก
7.ขอให้อยู่อย่างภาคภูมิ ทั้งภายในและภายนอก อย่าเลิกไปร้านทำผม ทำเล็บ หาแพทย์ดูแลผิวและฟัน หาครีมและน้ำหอมดีๆไว้ใช้ เพราะเมื่อคุณดูแลร่างกายภายนอกอย่างดี ความรู้สึกดีๆจะซึมซาบเข้าไปภายใน ทำให้คุณรู้สึกภาคภูมิใจและเข้มแข็ง
8.อย่าทิ้งแฟชั่นที่เหมาะกับวัย แต่ขณะเดียวกันให้คงสไตล์ที่เป็นตัวคุณไว้ ไม่มีอะไรน่าเกลียดไปกว่าคนสูงวัยที่พยายามเลียนแบบแฟชั่นปัจจุบันของวัยรุ่น ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา คุณสร้างบุคลิกภาพของคุณไว้แล้ว รู้ว่าสิ่งใดดูดีสำหรับคุณ ขอให้ทำตามนั้น และจงภูมิใจว่านี่คือส่วนหนึ่งที่เป็นตัวตนของคุณ
9.ติดตามดูข่าวสารบ้านเมืองเสมอ อ่านหนังสือพิมพ์ ดูข่าว เข้าออนไลน์ การรับรู้ความเคลื่อนไหวและเสวนากับเพื่อนฝูงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนทุกวัย
10.ให้ความสำคัญกับคนรุ่นหลัง รับฟังความคิดเห็นของพวกเขาซึ่งอาจไม่เหมือนของคุณ แต่คนรุ่นหลังคืออนาคต
11.อย่าใช้คำว่า “ในสมัยของฉัน” เป็นอันขาด สมัยของคุณคือปัจจุบัน ตราบใดที่คุณยังมีชีวิตอยู่ สมัยนี้คือสมัยของคุณ สมัยก่อนคุณอายุน้อยกว่านี้ก็จริง แต่ปัจจุบันคุณก็ยังเป็นคุณ ฉะนั้น จงสนุกกับชีวิตให้มาก
12.ยอมรับความสูงวัยอย่างมีความสุข ชีวิตเราสั้นเกินกว่าจะไปเสียเวลา ใช้เวลาของคุณกับคนที่มีทัศนคติบวก รื่นเริงแจ่มใส คุณจะสดชื่น
13.อย่าพ่ายแพ้กับความเย้ายวนที่จะไปอยู่กับลูกหลาน (ถ้าคุณมีทางเลือกด้านเศรษฐกิจ)  หากคุณสูญเสียคู่ชีวิตไปแล้ว หาคนมาอยู่เป็นเพื่อนคอยช่วยเหลือ แต่จงทำเมื่อคุณจำเป็นต้องมี หรือไม่อยากอยู่คนเดียวแล้วเท่านั้น
14.อย่าทิ้งงานอดิเรก ถ้ายังไม่มีก็จงมองหา จะเป็นการเดินทางท่องเที่ยว ทำอาหาร เต้นรำ ฯลฯ หรืองานอาสาสมัคร ข้อสำคัญหาสิ่งที่ชอบและใช้เวลาสนุกกับมันอย่างจริงจัง
15.ตอบรับคำเชิญบ้าง แม้ไม่ชอบนัก  ออกจากบ้านไปพบปะผู้คน หาประสบการณ์ใหม่ๆ พบปะคนที่ไม่ได้พบกันนานแล้ว ข้อสำคัญคือได้ออกจากบ้าน ไปพิพิธภัณฑ์ ไปเดินเล่น ไป ฯลฯ
16.เป็นคู่สนทนาที่ดี พูดน้อย ฟังมาก บางคนพล่ามแต่เรื่องในอดีต ตอบคำถามเท่าที่จำเป็น อย่าเล่ายืดยาว ยกเว้นมีคนขอร้อง พูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ 
17.ความเจ็บปวดไม่สบายเนื้อสบายตัวเป็นเรื่องปกติธรรมดาของการสูงวัย อย่ากังวลกับมันมาก ยอมรับว่านี่เป็นวงจรของชีวิตที่เราต้องเผชิญ 
18.ถ้ามีใครมาทำให้คุณหงุดหงิด อภัยให้เขา ถ้าคุณทำให้ใครหงุดหงิด ขอโทษเขาเสีย อย่าเอาความขุ่นข้องติดตัวไป มันรังแต่จะทำให้คุณเศร้าหมอง ครั้งหนึ่งมีคนพูดว่า “คุณพกความโกรธไว้ก็เหมือนคุณกินยาพิษ อภัยให้กัน ลืมซะแล้วเดินหน้าต่อไป
19.ถ้าคุณศรัทธาในสิ่งใด จงศรัทธาต่อไป แต่อย่าเสียเวลาโน้มน้าวคนอื่น 
19.หัวเราะ และหัวเราะให้มากๆ คิดว่าคุณคือหนึ่งในผู้โชคดี ที่คุณสามารถมีชีวิตมาถึงวันนี้ได้ หลายคนมาไม่ถึง ไม่มีโอกาสใช้ชีวิตอย่างเต็มที่เหมือนคุณ 
20.อย่าสนใจขี้ปากชาวบ้าน ยิ่งเรื่องที่เขาคิดยิ่งไม่ต้องสนใจ ยังไงคุณก็ห้ามเขาไม่ได้ คุณต้องมีความภูมิใจในตัวเอง และไม่ต้องกังวล 
21.ถ้าไม่ทำสิ่งที่อ่านมาก็ไร้ประโยชน์ครับ
Cr:ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ-กรุงเทพธุรกิจ
https://www.linkedin.com/pulse/21-rules-good-old-age-oussama-zinedine