สิทธิในการได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิก่อนศาลมีคำพิพากษาเป็นที่สุด
ถือเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ผู้ต้องหาในคดีอาญาทุกคน
พึงได้รับการคุ้มครอง
อย่างไรก็ตาม
การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้สื่อข่าวหลายครั้ง โดยเฉพาะการจัดแถลงข่าว
หรือจัดทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ในคดีที่อยู่ในความสนใจของสาธารณะชน
ก็มีผลทำให้สิทธิดังกล่าวได้รับผลกระทบอยู่พอสมควร
การแถลงข่าวการจับกุม 'ชายชุดดํา'
วันที่ 11
กันยายน 2557 ที่สํานักงานตํารวจแห่งชาติ (สตช.) พล.ต.อ.สมยศ
พุ่มพันธุ์ม่วง จัดแถลงผลการจับกุมกลุ่มชายชุดดําที่ก่อเหตุใช้อาวุธปืนและวัตถุระเบิด
ยิงใส่เจ้าหน้าที่ ระหว่างการชุมนุมบริเวณแยกคอกวัว เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2557 จนเป็นเหตุให้ พล.อ. ร่มเกล้า ธุวธรรม
(ตําแหน่งในปัจจุบัน) เสียชีวิต
พล.ต.อ. สมยศ กล่าวว่า
ค่อนข้างมั่นใจการจับกุมครั้งนี้ว่าเป็นผู้กระทําความผิดอย่างแน่นอน
เนื่องจากผู้ต้องหาทั้งหมด ให้การรับสารภาพ
ว่าเป็นกลุ่มชายชุดดําที่ก่อเหตุดังกล่าวจริง ทั้งนี้ระหว่างแถลงข่าวการจับกุม
มีการนําผู้ต้องหาทั้งหมดมาใส่ชุดสีดําและพันแขนด้วยผ้าสีแดง ใส่หมวกไหมพรมสีดำ
นั่งเรียงหน้ากระดานให้นักข่าวถ่ายภาพ
สื่อหลายสำนักเสนอข่าวดังกล่าวในลักษณะที่ว่า
บุคคลตามภาพถ่ายเหล่านั้น คือ 'ชายชุดดํา'
ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของ พล.อ. ร่มเกล้า เช่น
ASTVผู้จัดการ
พาดหัวข่าวว่า "รวบ 5 ชายชุดดํา สังหาร พล.อ.ร่มเกล้า
โยง เปิ้ล กริชสุดา"
ไทยโพสต์ พาดหัวข่าวว่า
"จับชุดดํายิงร่มเกล้า สารภาพรับคําสั่งไปถล่ม!‘สมยศ’แฉโยงคนเสื้อแดง"
ขณะที่ ไทยรัฐออนไลน์
พาดหัวข่าวว่า"เผยโฉม 5
ผู้ต้องหา ‘ชายชุดดํา’ฆ่าทหารที่ราชดําเนิน"
จะเห็นว่า
การนําเสนอข่าวในลักษณะนี้สร้างความเชื่อบางอย่างให้กับสังคม จนเกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับ
เช่น ภรรยา พล.อ.ร่มเกล้า โพสขอบคุณเจ้าหน้าที่ตํารวจในสื่อสังคมออนไลน์ หรือ
กรณีที่ ถาวร แสนเนียม อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ออกมายืนยันถึงการมีอยู่ของชายชุดดําและชื่นชมการทํางานของเจ้าหน้าที่ตํารวจในครั้งนี้
กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการนำผู้ต้องหามาแถลงข่าว
การจัดแถลงข่าวในลักษณะเช่นนี้
ดูจะขัดกับแนวปฏิบัติและระเบียบของสตช.หลายๆข้อ เช่น
คำสั่ง สตช. ที่ 855/2548 ซึ่งกําหนดแนวทางการปฎิบัติการให้ข่าว แถลงข่าว ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนดังนี้
1.2.1 ผู้มีอํานาจหน้าที่ให้ข่าว
แถลงข่าว หรือ
ให้สัมภาษณ์ต้องปฏิบัติภายในขอบเขตอํานาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น ควรระมัด
ระวังถ้อยคํา หรือกิริยาท่าทาง
อันจะเป็นการล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น
และควรใช้ถ้อยคําที่เป็นกลางเพื่อไม่ให้เป็นการประจาน ดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น
1.2.2.5 ห้ามให้ข่าว แถลงข่าว
หรือให้สัมภาษณ์ในกรณีที่ เป็นเรื่องที่อาจส่งผลกระทบหรือเสียหายต่อคดี
โดยเฉพาะคดีที่อยู่ในระหว่างการสืบสวนหรือสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น
1.2.4
ห้ามนําหรือจัดให้ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา หรือพยาน มาให้ข่าวแถลงข่าวหรือ
ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนทุกแขนง ยกเว้นกรณีที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน
จึงให้ขออนุญาตต่อผู้บัญชาการ
หรือ คําสั่ง สตช. ที่ 465/2550 ที่กําหนดว่า
ห้ามหรือจัดให้สื่อมวลชนทุกแขนงถ่ายภาพ
สัมภาษณ์ หรือให้ข่าวของผู้ต้องหา
ในระหว่างการควบคุมของตํารวจทั้งภายในและภายนอกที่ทําการหรือสถานีตํารวจเว้นแต่พนักงานสอบสวนดําเนินการเพื่อประโยชน์แห่งคดี
หรือได้รับความยินยอมจากผู้ต้องหา เหยื่ออาชญากรรม หรือผู้เสียหาย
บังคับ 'ทำแผนฯ' อีกหนึ่งเครื่องมือที่กระทบสิทธิผู้ต้องหา
นอกจากการนำผู้ต้องหามาแถลงข่าวแล้ว
การทำแผนประทุษกรรม หรือที่เรียกกันจนติดปากว่า กาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ
ที่ให้ผู้ต้องหามา "ทำซ้ำ" การกระทำที่ตนสารภาพในชั้นสอบสวน
ต่อหน้าผู้สื่อข่าวและสาธารณชน
ก็มีผลกระทบต่อสิทธิในการได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ไม่น้อย
โดยหลัก 'การทำแผนฯ'
มีขึ้นเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตํารวจใช้ศึกษากลวิธีหรือขั้นตอนในการกระทําความผิดของคนร้าย
อันจะทำให้การสืบสวนเป็นไปอย่างสะดวกขึ้น เท่านั้น
ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะให้ผู้ต้องหามาแสดงการกระทำผิดซ้ำ
เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการปรักปรำตนเอง ทั้งนี้การนําชี้ที่เกิดเหตุประกอบคํารับสารภาพ
เป็นพยานหลักฐานที่ยังไม่เพียงพอจะนําใช่ลงโทษจำเลยได้ ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2813-2814/2523 ที่วางไว้ว่า ลำพังคำรับสารภาพ ชั้นสอบสวน และบันทึกชี้สถานที่เกิดเหตุ
ประกอบคำรับสารภาพ ไม่เพียงพอที่จะใช้ลงโทษจำเลยได้
คดีฆาตกรรมนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เกาะเต่า
ได้รับความสนใจจากสาธารณชนอย่างมากในปี 2557
สื่อหลายสำนักจึงรายงานข่าวในวันที่ผู้ต้องหาชาวพม่าถูกพาตัวมาทำแผนประกอบคำรับสารภาพบริเวณที่เกิดเหตุ
และไทยรัฐทีวีก็เป็นสื่อหนึ่งที่นำเสนอข่าวโดยมีภาพจําลองประกอบเหตุการณ์
เพื่อลําดับขั้นตอนในการก่อเหตุขึ้นมาอีกด้วย
ซึ่งการที่สาธารณชนได้เห็นภาพผู้ต้องหา
แสดงท่าทางการกระทำตามที่ถูกกล่าวหาผ่านสื่อ ก็ย่อมมีผลทำให้สาธารณชนบางส่วน
เข้าใจว่าผู้ต้องหาคือผู้กระทำผิด ก่อนจะมีการพิสูจน์ในชั้นศาลได้ไม่ยาก
'ทำแผนฯ' ต่อหน้านักข่าว
ขัดคำสั่งสตช.
นอกจากนี้
การทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ที่มีการให้สื่อหลายสำนักเข้าไปทำข่าว ก็อาจขัดต่อ
คําสั่ง สตช. ที่ 855/2548 ข้อ 2.4 ซึ่ง
ห้ามจัดให้สื่อมวลชนทุกแขนงเข้าทําข่าว
ขณะเมื่อมีการให้ผู้ต้องหานําพนักงานสอบสวนไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคํารับสารภาพ และหลีกเลี่ยงการให้สัมภาษณ์ใดๆ
ในลักษณะเป็นการโต้ตอบระหว่างพนักงานสอบสวนกับผู้ต้องหา หรือบุคคลใด
โดยมีสื่อมวลชนทุกแขนงเป็นผู้สัมภาษณ์เนื่องจากอาจเป็นเหตุให้รูปคดีเสียหาย
และยังต้องให้ข้อมูลในลักษณะที่เป็นกลางอีกด้วย
ทั้งนี้
ในขณะที่สื่อไทยส่วนหนึ่งเลือกที่จะเสนอข่าวการให้สัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่ที่ทำคดี
ในลักษณะฟันธงและสร้างความชอบธรรมในการปฎิบัติหน้าที่
จนส่งผลให้สังคมพิพากษาผู้ต้องหาล่วงหน้าไปแล้วนั้น สื่อต่างประเทศ อย่าง เดอะ
เทเลกราฟ กลับเสนอข่าวว่า ประชาชนที่มาดูการทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ไม่เชื่อม้ั่นในกระบวนการดังกล่าว
เพราะมองว่า ผู้ต้องหาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ
ภายใต้การชี้นำและคำสั่งของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ความเห็นต่อการแถลงข่าวและการทำแผนฯ
ทั้งการแถลงข่าว
และการทำแผนประกอบคำรับสารภาพ
ล้วนมีผลกระทบในด้านลบต่อสิทธิในการได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ก่อนศาลมีคำพิพากษา
ของผู้ต้องหาในคดีอาญา ก่อนหน้านี้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
นักสิทธิมนุษยชน และนักกฎหมาย เคยแสดงความกังวลเกี่ยวกับการแถลงข่าว
และการทำแผนประกอบคำรับสารภาพไว้แล้ว ตัวอย่างเช่น
พ.ต.อ.ชโลธร สิทธิปัญญา
พนง.สืบสวนสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ กองบังคับการตํารวจนครบาล 2
ตัวแทนจาก สตช. เคยให้ความเห็นไว้ว่า
ตามกฎหมายให้เป็นดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ตํารวจ
ที่จะพิจารณาว่าจะมีการแถลงข่าวหรือควรนําผู้ต้องหาไปทําแผนประกอบคํารับสารภาพหรือไม่
แต่ในความคิดของผู้บังคับบัญชาก็จะมองว่าการแถลงข่าวส่วนหนึ่งเพื่อประชาสัมพันธ์ผลงานของหน่วยงาน
และกรณีที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ เป็นการปรามคนที่คิดกระทําผิด
ทั้งนี้ พ.ต.อ.ชโลธร เห็นว่า
การนําผู้ต้องหาไปทําแผนฯ
ควรให้เป็นไปเพื่อให้ได้พยานหลักฐานเพิ่มเติมที่ชัดเจนสามารถเอาผิดผู้กระทําผิดได้
ถ้าไม่ได้เป็นไปเพื่อเป็นจุดประสงค์ดังกล่าวก็ไม่จําเป็นต้องทำ
นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช
จากสํานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เคยให้ความเห็นไว้ว่า
การเสนอข่าวอาชญากรรมในปัจจุบัน มีการเผยแพร่ภาพผู้ต้องหาในคดีอย่างชัดเจน
ทั้งในการนําผู้ต้องหามาแถลงข่าวหรือนําผู้ต้องหาไปทําแผนประกอบคํารับสารภาพ
และมีการรุมประชาทัณฑ์ผู้ต้องหา
การปฏิบัติงานในลักษณะดังกล่าวอาจเป็นการแทรกแซงสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้ต้องหา
ตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 39 และปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
ข้อ 11 ที่ระบุว่า ก่อนมีคําพิพากษาถึงที่สุดให้ถือว่าผู้ต้องหาหรือจําเลยเป็นผู้บริสุทธิ์
ขณะที่ นายสมชาย หอมลออ
อดีตประธานแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
ถ้ามีการรับสารภาพของจําเลยต่อหน้าพนักงานสอบสวนและทนายความของจําเลย
ก็น่าจะเป็นหลักฐานเพียงพอที่น่ารับฟังได้ไม่น้อยไปกว่าการนําผู้ต้องไปทําแผนประกอบคํารับสารภาพ
การจัดทําแผนฯ ควรทําในเฉพาะกรณีที่เชื่อว่าจะสามารถทําให้ได้พยานหลักฐานเพิ่มเติม
ส่วนการนําผู้กระทําผิดมาแถลงข่าว
ก็ไม่ควรนําเสนอถึงวิธีการของการกระทําความผิด
แต่ควรมุ่งถึงเหตุปัจจัยที่ทําให้ผู้กระทําผิดก่ออาชญากรรมเพื่อเป็นการให้ข้อมูลแก่สังคม
เพราะถ้านําเสนอเรื่องวิธีการมาก
อาจทําให้เกิดการลอกเลียนแบบและการเผยแพร่ภาพการประชาทัณฑ์ผู้ต้องหาก็เหมือนสังคมยอมรับว่าการแก้แค้นของผู้เสียหายสามารถทําได้
อีกทั้งการนําเสนอข่าวสื่อมักจะเสนอให้ผู้ชมเชื่อไปแล้วว่า ผู้ต้องหาเป็นผู้ที่กระทําผิดจริง
ทั้งที่กระบวนการยุติธรรมยังไม่สิ้นสุด จึงอยากให้สื่อฯ
และสังคมไทยให้ความสําคัญกับหลักสิทธิมนุษยชน และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
เพื่อให้การปกครองแบบนิติรัฐเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง
ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2557 สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับกรณีที่เกาะเต่าว่า
การนําเสนอภาพข่าวหรือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์รวมถึงบทสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่รัฐและบุคคลทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องในคดีออกสู่สาธารณะเป็นจํานวนมาก
บางสํานักข่าวนําเสนอภาพข่าวหรือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์
ซึ่งการนําข้อมูลของผู้ตายและภาพข่าวมาเผยแพร่ซ้ําย่อมเป็นการตอกย้ําถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่กระทบกระเทือนต่อครอบครัวของผู้เสียหายอย่างต่อเนื่อง
และยังเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ต้องหา รวมถึงอาจส่งผลต่อรูปคดี
และการสัมภาษณ์ล่ามถึงรายละเอียดคําให้การต้องมีจรรยาบรรณในการรักษาความลับ
ลิงค์ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘ตัวจริง100%’ ‘สมยศ’โต้แพะ ‘2พม่า’ฆ่าฝรั่ง
'ทำแผนรับสารภาพ-ขอขมา'
สอบสวนละเมิดสิทธิ-ส่อผิดก.ม.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น