สุดฉาว!! เขย่าวงการตุลาการ เกิดขึ้นในเมืองพัทยา กรณีคดีอาชญากรข้ามชาติ จอมตุ๋ยเด็ก ประวัติโชกโชน รวบได้คาหนังคาเขาถูกขังชั่วคราว ผวาคุกไทยดิ้นสุดตัวหาทางรอด ยื่นขอประกันตัวนับสิบครั้งไม่ผ่าน เจอเส้นใหญ่อ้างกิ๊กผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ เรียกค่าน้ำชา 12.7 ล้าน ประกันตัวพร้อมล้มคดีสะอาดหมดจด จอมตุ๋ยติดเบ็ดฮุบคำโต กินได้ครึ่งทางเรื่องแดง เด้งยกทีมถึงผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์
เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2552 นาย สมิธ [นามสมมุติ] อายุ 60 ปี ชาวสวีเดน และเพื่อนชาวสวีเดนอีก หนึ่งคน ชาวอังกฤษอีกหนึ่งคน ถูกจับในวันเดียวกัน ในคดีมีเพศสัมพันธ์กับเด็กชายอายุต่ำกว่า 15 ปี ถึง 3 คดีด้วยกัน ทั้งหมดถูกรวบโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายฝ่าย ที่สำคัญ เป็นผลงานของหน่วยปราบปรามข้ามชาติที่ร่วมมือกันระหว่างตำรวจสากลจากกลุ่ม ประเทศสแกนดิเนเวียและยุโรป เรียกว่า หน่วย “Snapper” อันเป็นหน่วยที่เอาจริงเอาจังกับการกำจัดพวก “ตุ๋ยเด็ก” โดยเฉพาะ !! ทั้งสามอาชญากรถูกรวบที่บ้านเลขที่ 404/118 หมู 12 หนองปรือบางละมุง
นายสมิธและเพื่อนถูกจับกุมและขังไว้ในคุกชั่วคราว โดยนายสมิธได้ว่าจ้างทนายความจาก บริษัท สำนักงานกฎหมายที่ตั้งอยู่ในซอย D, หมู่ 10 พัทยาใต้ โดย มี น.ส.วนิดา (นามสมมุติ) เจ้าของสำนักงานได้พยายามยื่นขอประกันตัวนายสมิธ ถึง 10 ครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
วันหนึ่งน.ส.วนิดาถูกเพื่อน ๆ ทนายจากบริษัททนายความอื่น แนะนำให้รู้จักนางสาวลินดา (นามสมมุติ) บอกว่านางสาว ลินดา สามารถขอประกันตัวนายสมิธได้แน่นอน เพราะรู้จักและสนิทสนมเป็นการส่วนตัวกับผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายหนึ่ง โดยน.ส. วนิดาได้ตกลงเรื่องเงินสินบนกับนางสาว ลินดาเป็นเงินจำนวน 3,500,000 บาท ซึ่งต่อมามีการทำเป็นข้อตกลง (ไม่มีมูลหนี้) ระหว่าง นายนภดล (นามสมมุติ) ญาติของนางสาว ลินดา กับน.ส. วนิดาโดย น.ส. วนิดากับนายนภดล ได้นำเงินตามข้อตกลงดังกล่าวไปเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาเซ็นทรัล ลาดพร้าว ร่วมกัน หมายเลขบัญชี 157-217895-3 เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2552 เป็นเงินจำนวน 3,500,000 บาท
โดยทั้งสองฝ่ายต้องลงชื่อถอนเงินด้วยกัน หากการประกันตัวสำเร็จทั้งสามคดี นางสาววนิดาจะต้องลงนามเพื่อเบิกเงินให้กับนาย นภดล ถ้าการขอประกันตัวไม่สำเร็จ นายนภดล จะต้องลงนามถอนเงินกลับไปให้นางสาววนิดา
ต่อมาปลายเดือน 30 กันยายน 2552 ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตปล่อยชั่วคราวจำเลยชาวต่างประเทศตามข้อตกลง
และในวันที่ 3 ตุลาคม นางสาวลินดาก็ได้สั่งให้นางสาว วนิดาและนายนภดล ไปเบิกเงินจากบัญชีดังกล่าว จำนวน 100,000 บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน) เพื่อเป็นรางวัลค่าตอบแทนแก่นายนภดล
หลังจากที่นายสมิธ ถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำตามข้อตกลงแล้ว นางสาววนิดาและนายนภดลก็ได้ไปเบิกถอนเงินจากบัญชีหมายเลข 157-217895-3-___ มาเปิดบัญชีถ่ายโอนเงินให้กับนางสาวลินดาหญิงคนสนิทของผู้พิพากษารายนี้ หมายเลขบัญชี 157-218075-6____ เป็นจำนวน 3,400,000 (สามล้านสี่แสนบาทถ้วน) ต่อจากนั้นนางสาวลินดาก็ทยอยเบิกถอนเงินจากบัญชีดังกล่าว ครั้งละไม่เกิน 1,000,000 บาท ส่งมอบให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นเงินสด
หลังจากช่วยให้ประกันตัวสำเร็จ นายสมิธก็เกิดความเชื่อถือนางสาวลินดาว่า จะสามารถช่วยให้ยกฟ้องคดีของตนได้ จึงตกลงทำสัญญาว่าจ้างโดยตรงกับนางสาวลินดา เป็นเงิน 9,200,000 บาท เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2552 และได้ชำระเงินให้นางสาวลินดา ไปแล้ว 4,000,000 บาท คงเหลืออีก 5,200,000 บาทโดยเงินคงเหลือจำนวนดังกล่าวนี้ ได้นำไปเปิดบัญชี ที่ธนาคารพาณิชย์สาขาลาดพร้าวในชื่อบัญชีร่วมกันระหว่างนายสมิธกับนางสาวลิ นดา
หากคดีทั้งสามของนายสมิธถูกยกฟ้อง หรือถอนฟ้อง นายสมิธจะต้องเซ็นชื่อถอนเงินให้แก่นางสาวลินดาแต่หากไม่สำเร็จ นางสาวลินดาตกลงที่จะคืนเงินทั้งรับมาแล้ว จำนวน 4 ล้านบาทคืนให้แก่นายสมิธ
กระบวนการฝาก “กิ๊ก” รับเงินแทน ถูกแฉ!! โดยสามีจริง
เรื่องดังกล่าวได้ถูกเปิดเผยขึ้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้ร้องเรียน ซึ่งเป็นเพื่อนของนาย อภิเชษฐ์ (นามสมมุติ) สามีของนางสาวลินดาได้ทำหนังสือร้องเรียนถึงคณะกรรมการตุลาการ(ก.ต.) กล่าวโทษผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายนี้ว่า นอกจากมีพฤติการณ์ฉันท์ชู้สาว กับหญิงที่มีสามีแล้ว ยังอาศัยหญิง หรือ กิ๊ก คนดังกล่าว เป็นเครื่องมือในการเรียกร้องสินบน ในการตัดสินพิพากษาคดีต่าง ๆ ในหลายคดี เป็นเงินรวมหลายสิบล้านบาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสำคัญของคดี
หนังสือร้องเรียนที่ผู้ร้องเรียนส่งถึงประธานศาลฎีกาและอธิบดีผู้พิพากษา ภาค 1 มิใช่ร้องเรียนพฤติกรรมการเรียกรับสินบนของผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายนี้กับ นางสาว ลินดาและบริวารเท่านั้น หากยังระบุว่าถูกข่มขู่คุกคามจากผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายนี้และนางสาว ลินดาอีกด้วย
หนังสือร้องเรียนดังกล่าวระบุว่า หลังจากผู้ร้องและ นาย อภิเชษฐ์ สามีของนางสาว ลินดาได้ติดตามพฤติกรรมของ นางสาวลินดาจนทราบว่า ภรรยาเป็นชู้กับผู้พิพากษาจริง ซึ่งนางสาว ลินดาก็ยอมรับ และยังร่วมกันเรียกและรับสินบน คนทั้งสองได้ร่วมกันข่มขู่ว่าจะเอาชีวิต ผู้ร้องและนาย อภิเชษฐ์ ตลอดจน ลูกน้องที่ทราบเรื่อง เป้าหมายเพื่อต้องการที่จะให้ นาย อภิเชษฐ์ ซึ่งเป็นเจ้าของอู่รถยนต์ หย่าขาดจากภรรยา รวมทั้งไม่ให้ผู้ร้องเป็นพยานให้กับนาย อภิเชษฐ์
ต่อมา นางสาว ลินดาทราบว่าผู้ร้องมีเอกสารการเรียกและรับสินบนในคดีต่างๆ ของนางสาว ลินดาและผู้พิพากษา ทำให้ผู้พิพากษารายนี้และนางสาว ลินดาโกรธแค้นอย่างหนัก ได้แสดงอิทธิพลข่มขู่จะเอาชีวิต นาย อภิเชษฐ์ และผู้ร้อง และข่มขู่ผ่านแม่ของลูกน้อง จนเป็นเหตุบีบคั้นให้เกิดการตัดสินใจร้องเรียนต่อประธานศาลฎีกา จนทำให้ ผู้พิพากษารายนี้ใช้วิธีข่มขู่บีบคั้นด้วยวิธีต่าง ๆ เมื่อไม่ได้ผล ก็ใช้วิธีประกาศปิดกิจการอู่รถยนต์ ซึ่งเป็นรายได้หลักของผู้ร้อง และ นาย อภิเชษฐ์ และนายวิโรจน์ (นามสมมุติ) ซึ่งเป็นหุ้นส่วนกับนาย อภิเชษฐ์ เพื่อบีบให้นาย อภิเชษฐ์ ออกมาเจรจา
เมื่อถูกกดดันมากถึงที่สุด ทำให้นาย อภิเชษฐ์ และผู้ร้องได้ยื่นฟ้อง นางสาว ลินดากับพวก รวม 9 คน ซึ่งเป็นคดีแพ่งของศาลจังหวัดตลิ่งชัน พร้อมทั้งยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวฉุกเฉิน
และศาลจังหวัดตลิ่งชันได้ไต่สวนแล้วมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว แต่ เมื่อเจ้าหน้าที่ศาลนำหมายคุ้มครองชั่วคราวไปส่ง ปรากฏว่า นางสาว ลินดาไม่ยอมให้ผู้ร้อง และนายวิโรจน์เข้าไปในร้านและอาละวาดเจ้าหน้าที่ศาลพยายามบอกว่าเป็นคำสั่ง ศาลแต่ นางสาว ลินดาไม่ยอมรับฟัง ผู้ร้องได้โทรศัพท์ไปหาผู้พิพากษารายนี้ แต่ผู้พิพากษารายนี้กลับบอกว่า นางสาว ลินดาไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาล เพราะวันจันทร์ศาลก็จะเพิกถอนคำสั่ง และขอให้ นาย อภิเชษฐ์ รีบมาเจรจากับผู้พิพากษารายนี้และให้ไปถอนคำร้องเรียนโดยเร็ว
หนังสือร้องเรียนระบุด้วยว่า ผู้ร้องเชื่อว่าแม้ผู้พิพากษารายนี้มีอิทธิพลมากเพียงใด แต่กำลังถูกตั้งกรรมการสอบในเรื่องความประพฤติ ไม่น่าจะติดต่อผู้พิพากษาคนใดได้ แต่ปรากฏว่าวันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2553 นางสาว ลินดาไปยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว
แต่แล้วเมื่อเวลา 14.30 น. ศาลออกนั่งบัลลังก์พิจารณาเวลา 15.30 น.ผู้ร้อง นำคำร้องขอเลื่อนคดีเพื่อใช้สิทธิคัดค้านไปยื่นในห้องพิจารณาเวลา 15.45 น. ศาลบอกว่า มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวแล้ว หลังจากนั้นจึงลงเวลาในคำร้องดังกล่าวว่า 16.15 น.
หลังจากการพิจารณาผลสรุปการสอบสวนเบื้องต้น ก.ต.จึงมีมติเมื่อกลางเดือนสิงหาคม 2553 ให้ย้ายผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายดังกล่าวไปเป็นผู้พิพากษาศาล อุทธรณ์ประจำสำนักงานศาลยุติธรรมซึ่งไม่มีหน้าที่ใด ๆ ในการพิจารณาคดี
นอกจากนั้น ก.ต.ยังแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายดังกล่าว มีนายวีระวัฒน์ ปวราจารย์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาเป็น ประธานจากเรื่องร้องเรียนดังกล่าว ถ้าผลการสอบสวนทางวินัยพบว่า ผู้ พิพากษาศาลอุทธรณ์รายนี้มีความผิดจริง ก็เข้าข่ายเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม เพราะเป็นการรับสินบนเพื่อล้มคดีหรือให้ปล่อยตัวจำเลยชั่วคราว ซึ่งเป็นความผิดทางอาญา และทาง ก.ต.น่าจะต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป .ป.ช.)ไต่สวน เพราะมิเช่นนั้นแล้ว เท่ากับเป็นการช่วยเหลือให้พ้นผิดในทางอาญา นอกจากนั้นยังมีความผิดในทางอาญาและกฎหมายอื่นเกี่ยวพันไปถึงบุคคลอีกหลายคน จากคำร้องเรียนยังมีอีกหลายคดีที่มีการวิ่งเต้นจนได้รับการประกันตัว รวมถึงมีการใช้อิทธิพลจนผู้พิพากษารายหนึ่งในศาลจังหวัดตลิ่งชันพลิกคำสั่ง คุ้มครองชั่วคราวเพียงชั่วข้ามคืน
ชะตากรรม “จอมตุ๋ย”
ไม่ปรากฏแน่ชัดว่านายสมิธได้หลบหนีออกนอกประเทศไปหรือยัง หลังจากคดีนี้ฉาวขึ้นมา คงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป
ส่วนนาย GG. (นามสมมุติ) เพื่อนคนอังกฤษ ติดคุกในกรุงเทพฯ อยู่ 14 เดือน แต่ในที่สุดก็หลุด (ตัดสินที่ศาลอาญา) พิพากษาเมื่อ วันที่ 15 กรกฎาคม 2553 เวลา 10.30 น หลุดหมดทุกคดีด้วย ทั้ง ๆ ที่ มีเอกสารหลักฐานทั้งรูปเด็กชาย เป็นรอย คนทั้งในเมืองไทย เวียดนาม และกัมพูชา ตอนนี้ก็บินปร๋อกลับบ้านไปแล้ว ถ้าหนีไปก็ต้องไปโดนจับที่ประเทศบ้านเกิด ที่นั่นเขาอาจจะต้องติดยาว ตายในคุก ฉะนั้นพวกอาชญากร “เฒ่าหัวงู” พวกนี้เลือกที่จะ “เคลียร์” ตัวเองในเมืองไทยดีกว่า!!
ส่วนนาย GG. (นามสมมุติ) เพื่อนคนอังกฤษ ติดคุกในกรุงเทพฯ อยู่ 14 เดือน แต่ในที่สุดก็หลุด (ตัดสินที่ศาลอาญา) พิพากษาเมื่อ วันที่ 15 กรกฎาคม 2553 เวลา 10.30 น หลุดหมดทุกคดีด้วย ทั้ง ๆ ที่ มีเอกสารหลักฐานทั้งรูปเด็กชาย เป็นรอย คนทั้งในเมืองไทย เวียดนาม และกัมพูชา ตอนนี้ก็บินปร๋อกลับบ้านไปแล้ว ถ้าหนีไปก็ต้องไปโดนจับที่ประเทศบ้านเกิด ที่นั่นเขาอาจจะต้องติดยาว ตายในคุก ฉะนั้นพวกอาชญากร “เฒ่าหัวงู” พวกนี้เลือกที่จะ “เคลียร์” ตัวเองในเมืองไทยดีกว่า!!
นำโด่ง!! คอร์รัปชั่นเมืองพัทยา อันดับต้นของไทย
คอร์รัปชั่นในเมืองพัทยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติ จะมีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก เพราะมีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง หน่วยงานและบุคคลที่เกี่ยวข้องต้องยึดมั่นในคุณธรรมและรักษาความถูกต้อง ไม่ถือโอกาสเอากฎหมายที่มีช่องโหว่มาหากิน เพียงแค่ความสบายแห่งตน เหมือนที่นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาไปเมื่อเร็วนี้ ว่าการทุจริตไม่ได้เกิดจาก การขาดแคลนแต่เกิดจาก การไม่รู้จักพอ ตัวอย่างคนยากจนมากมายที่แสดงออกถึงการซื่อสัตย์สุจริตตลอดเวลา เช่นแท็กซี่ที่เก็บเงินได้มหาศาลและนำไปคืน เพราะการได้สิ่งใดมานั้นต้องมีเหตุผลและความชอบธรรม ตรงกันข้ามคนที่ทุจริตมากมายที่ไม่ขาดแคลนเลย แต่กลับไม่หยุดยั้งในการแสวงหา
กรณีของ นส.วนิดาเจ้าของ สนง.ทนาย เธอให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า ยอมรับควัก 3.5 ล้านจ้าง นส.ลินดา “หญิงคนสนิท” ผู้พิพากษาช่วยคดี “ฝรั่งตุ๋ยเด็กจริง!! แต่บอกปัดไม่รู้ว่าตนกำลังจ่ายสินบน โดยเธอเล่าว่าชาวต่างชาติซึ่งเป็นลูกความของเธอพยายามยื่นประกันตัวนับสิบ ครั้ง แต่ไม่ได้รับอนุญาต ต่อมาตัวเธอได้รับการแนะนำการจากเพื่อนที่เป็นทนายความให้ติดต่อสำนักงานนาย ความของกลุ่ม นางสาวลินดา ซึ่งตัวเธอไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวกับ นางสาวลินดา และไม่รู้ว่า นางสาวลินดาเป็นภรรยาลับของผู้พิพากษา หลังจากตกลงกัน ก็ทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน เป็นบันทึกว่า เป็นการ “ว่าจ้าง” เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการประกันตัว
ส่วนบันทึกข้อตกลงฉบับที่สอง (ว่าจ้าง 9.2 ล้านบาท) ที่มีชื่อของเธอเข้าไปเกี่ยวข้องนั้น ยอมรับว่ามีการทำบันทึกข้อตกลงฉบับดังกล่าวจริง เนื่องจากฝ่าย นางสาวลินดาไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติได้ และตัวเธอทำหน้าที่ล่าม และเป็นพยานลงชื่อในเอกสารว่าจ้างให้เท่านั้น ปัจจุบันผู้ต้องหาชาวต่างชาติรายนี้ไม่ได้เป็นลูกความของสำนักงานทนายความ ของเธอแล้ว
จะเห็นได้ว่าผู้รู้กฎหมาย ย่อมได้เปรียบเสมอ การเขียนข้อตกลงก็มีการใช้ภาษา และขั้นตอนที่ทำให้ตนเองพ้นผิด
เรื่องที่น่ากลัวกว่าก็คือ เธอกล่าวว่า “เธอได้รับการแนะนำจากเพื่อนที่เป็นทนายความ” แสดงว่าในวงการทนายความก็จะรู้ว่า ต้องทำยังไงถึงจะช่วยลูกความตัวเองให้พ้นผิด เท่านั้นเอง ไม่เคยคิดว่าเขาผิด เขาควรจะได้รับโทษ กลับไปพยายามวิ่งเต้นให้เขาพ้นผิด
ข่าวนี้ทำให้วงการตุลาการสั่นสะเทือนจริง ๆ กลายเป็นว่า คุกมีไว้สำหรับขัง “คนจน” และ “คนขี้เหนียว” เท่านั้นเองหรือ??
สั่งซื้อหนังสือได้ที่นี่ค่ะ
สั่งซื้อหนังสือได้ที่นี่ค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น