pearleus

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2563

สนุกกี้ ตอนที่ 1 คุณหนูไฮโซ




ฉันเป็นนักอ่านตัวยง ฉันอ่านหนังสือมากมาย สนใจในหนังสือหลาย ๆ ประเภท ทั้งวรรณคดี การเมืองและปรัชญา ฉันคิดว่าความสนใจทางด้านต่าง ๆ ได้พัฒนาขึ้นตั้งแต่คุณแม่ของฉันได้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ตอนฉันอายุเพียง  10 ขวบ


คุณพ่อของฉันเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จทางด้านอสังหาริมทรัพย์ ในจังหวัดเชียงใหม่ท่านไม่เคยมีเวลาว่างเลย มีแต่การเดินทาง การไปอยู่ตามไซต์งาน เข้าประชุม บางทีก็บินไปหาลุงของฉันที่ฮ่องกง ฉันไม่ชอบดูทีวี ฉันจึงหมดเวลาไปกับการอ่านหนังสือหลากหลายประเภท


คุณคงพอจะนึกภาพออกว่าฉันถูกเลี้ยงมาแบบตามใจเพราะพ่อไม่ว่าง มีแต่เงิน ซื้อทุกอย่างที่ฉันต้องการ
เมื่อคุณแม่เสียชีวิต ฉันถูกส่งไปเรียนโรงเรียนนานาชาติ เพื่อเรียนภาษาอังกฤษ คุณพ่อเป็นคนจีนฉันพูดภาษาจีนกลางได้ดีพอสมควรครูที่โรงเรียนเดิมประทับใจในผลการเรียนของฉันมาก.
ฉันเรียนดีมาตลอด เกรด A ไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถ พ่อภูมิใจในตัวฉันมาก ต่อมาเมื่อฉันเรียนในปีที่สอง กลางปี พ่อฉันเริ่มมีผู้หญิงคนใหม่ เธอชื่อรุ่ง เป็นคนเชียงใหม่(เหมือนคุณแม่ของฉัน) หน้าตาดีเป็นสาวไฮโซ ฉันกับน้ารุ่งมีปัญหากันนิดหน่อยตั้งแต่เริ่มต้น เพราะฉันเป็นลูกสาวตัวเล็กของพ่อมาตั้งแต่แม่ยังมีชีวิตแล้ว น้ารุ่งเข้ามายุ่มย่าม เจ้ากี้เจ้าการเรื่องเวลาของพ่อฉัน โดยพยายามกำจัดฉันไม่ให้มีโอกาสอยู่กับพ่อมากนัก สถานการณ์แย่ลงอีกเมื่อพ่อและน้ารุ่งแต่งงานกัน ทุกครั้งที่เราอยู่กันพร้อมหน้า สามคน ฉันอึดอัดมาก น้ารุ่งจะเสแสร้งว่าเราไม่มีปัญหากัน แต่เวลาอยู่กันสองคน เธอจะคอยกัดฉันตลอดเวลา เธอจะอดทนรอจนฉันเดินออกไปจากห้องแล้วฟ้องพ่อเกี่ยวกับฉัน ต่อมาน้ารุ่งได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านเราด้วย

เมื่อฉันอายุ 18 ปีเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ พ่อเอาใจฉันโดยการซื้อคอนโดหรูที่นวนครและรถบีเอ็ม ดับบลิว 323มีคนขับรถ และแม่บ้าน แต่พ่อฉันให้คุณยายมาอยู่เป็นเพื่อนฉันด้วย



ต่อมาน้ารุ่งตั้งครรภ์และให้กำเนิดลูกสาวฝาแฝด ฉันไม่เสียใจมากมายเท่าไร่ เพราะฉันเริ่มมีความคิดแบบผู้ใหญ่มากขึ้น เข้าใจชีวิตมากขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้ฉันเสียใจคือคุณพ่อของฉันเกิดอุบัติเหตุ ล้มในห้องน้ำ และศีรษะฟาดพื้น คุณพ่อถูกนำส่งโรงพยาบาลหมอบอกว่าเส้นเลือดในสมองแตกและคุณพ่อเป็นอัมพาต ไม่สามารถพูด หรือเดินได้อีกต่อไป

นี่คือสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นกับชีวิตของฉัน ฉันต้องเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือตัวเอง ฉันได้มีประสบการณ์ในการขึ้นรถเมล์เป็นครั้งแรก ฉันจ่ายค่ารถเมล์ยังไม่เป็นเลย ท่าทางเงอะงะ และการยืนที่ไม่มั่นคงทำให้ฉันดูเป็นตัวตลกในรถเมล์ จนผู้โดยสารคนอื่น ๆ อมยิ้มไปตาม ๆ กัน

วันที่ 14 พฤษภาคม 1997 เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย หรือเรียกทั่วไปในประเทศไทยว่า วิกฤตต้มยำกุ้ง เป็นช่วงวิกฤตการเงินซึ่งส่งผลกระทบถึงหลายประเทศในทวีปเอเชียเริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.. 2540 ก่อให้เกิดความกลัวว่าจะเกิดการล่มสลายทางเศรษฐกิจทั่วโลกเนื่องจากการแพร่ระบาดทางการเงิน

เหมือนโชคร้ายมาเยือนครอบครัวฉัน อย่างไม่หยุดยั้ง วันหนึ่งน้ารุ่งก้าวเข้ามาในคอนโดดูเคร่งเครียดมาก บอกว่า คุณพ่ออยู่ในสภาพล้มละลาย ต้องขายทุกอย่างที่เรามีไปให้หมด รวมทั้ง คอนโดและรถของฉันด้วย

อาทิตย์ต่อมามีข่าวดี(ซึ่งเป็นเรื่องดี ๆ เรื่องเดียว)ที่เกิดกับชีวิตฉัน คือฉันเรียนจบ เพื่อน ๆ ชวนกันไปกินฉลองวันเรียนจบ ฉันเปิดกระเป๋าดูเจอแบ้งค์ ยี่สิบบาทเก่า ๆ อยู่ 1 ใบ ฉันไปตู้ATMใกล้ๆ บ้านกดเงิน 5000 บาท แต่ ไม่สามารถกดได้เพราะฉันมีเงินอยู่เพียง 2000 บาทเหลือในบัญชี เท่านั้น ในชีวิตทั้งชีวิต

เราขายคอนโดในสัปดาห์ต่อมา แต่แม่เลี้ยงของฉันเอาเงินไปเกือบทั้งหมดเพราะต้องจ่ายค่ารักษาพ่อของฉัน ฉันต้องยืมเงินจากเพื่อนเพื่อเอาไปจ่ายค่ามัดจำคอนโด 3 เดือน (อยู่แถว ๆ เอกมัย) เป็นคอนโดที่สะอาด พออยู่ได้

สองสามอาทิตย์ต่อจากนั้นเป็นเวลาที่ฟ้าเป็นสีดำมืดที่สุดในชีวิตของฉัน

และแล้วฉันก็เจอแสงสว่างเล็ก ๆ ฉายลอดออกมาจากความมืดดำนั้นเมื่อฉันได้รับโทรศัพท์จากลุงของฉันที่อยู่ในฮ่องกง ลุงทราบเรื่องสุขภาพของพ่อและเรื่องธุรกิจที่ล้มละลาย ลุงบอกว่าลุงได้สัญญากับพ่อว่า ถ้าพ่อเป็นอะไรไปหรือลำบาก ลุงจะดูแลฉันแทนพ่อ สุดท้ายลุงบอกว่าฉันเรียนจบแล้วนี่ ลุงให้ฉันไปอยู่ฮ่องกง ไปทำงานกับลุง ในบริษัทของลุง ลุงโอนเงินมาให้ฉันค่าตั๋วเครื่องบินและเสื้อผ้า ฉันตื่นเต้นมาก

ในวันที่ฉันบินไปถึง ลุงมารับที่สนามบินแล้วพาไปส่งที่คอนโด ที่ลุงเตรียมไว้แล้ว เป็นคอนโดที่ดูสะอาดสะอ้าน ไม่มีเฟอร์นิเจอร์มากนัก ฉันต้องทำความสะอาดห้องเอง ทำเตียงเอง ซักผ้าเอง ไม่มีเมด ทำให้ พูดง่าย ๆ คือฉันต้องอยู่อย่างเบสิคมาก ๆลุงบอกว่าฉันใช้ชีวิตในโลกแห่งความฝันมานานมากแล้ว ถึงเวลาที่ต้องมาอยู่กับความเป็นจริงอยู่บนโลกใบนี้ที่คนอื่น ๆ เขาอยู่กัน ฉันพร้อมที่จะปรับตัวอย่างเต็มอกเต็มใจ

ฉันทำงานอยู่ไม่นาน ก็ป่วยเป็นนิวมอเนีย หมอบอกฉันยังมีความเครียดสูง อย่างไรก็ตามฉันเลือกที่จะมารักษาตัวที่กรุงเทพ ลุงช่วยเหลือค่าใช้จ่ายทุกอย่าง เช่าคอนโดในซอย สุขุมวิท 23 ให้ฉัน จ้างพยาบาลดูแลอย่างดี ฉันเริ่มอาการดีขึ้นจนเกือบเป็นปรกติ แต่แล้ว เจ้าโชคร้ายที่มันลอย ๆ อยู่บนศีรษะของเรามันทำไมบังเอิญตกลงมาบนหัวฉันบ่อย ๆ ก็ไม่รู้

วันนั้น วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 1998 ในขณะที่ฉันกำลังจะโทรศัพท์ไปจองตั๋วเครื่องบินไปฮ่องกง ฉันเดินไปปิดทีวี ซึ่งช่อง CNNกำลังรายงานข่าว  เกี่ยวกับเครื่องบินตก สายการบิน China Airlines Flight 676 จากบาหลีไปไต้หวันผู้โดยสาร 182 คน เสียชีวิตทั้งหมด  Bali to Taiwan,
ฉันไม่มีใครที่ฉันรู้จักทั้งในบาหลีและไต้หวัน แต่ฉันรู้สึกถึงความกลัววิ่งไปตามไขสันหลังฉันอย่างรวดเร็วเหมือนมีลางสังหรณ์ จนกระทั่งเย็นวันนั้น เลขาของลุงโทรมาบอกว่า ลุงของฉันอยู่ในเครื่องบินเที่ยวบินนั้น โทรศัพท์หลุดจากมือฉันตกสู่พื้น มันเป็นวันที่ยาวนานที่สุดของฉัน คุณลุงที่ฉันรักและนับถือ ผู้ให้ความช่วยเหลือฉันเรื่องเงินทอง เรื่องงาน เรื่องอนาคต

เราไปงานฝังศพคุณลุงอย่างเศร้าหมอง เพราะไม่มีแม้แต่ร่างกายของลุง มีแต่รูป ลุงในพิธี เมื่องานพิธีศพผ่านไป ทนายเปิดพินัยกรรม ลุงไม่ได้ใส่ชื่อฉันเป็นผู้รับผลประโยชน์ใด ๆ ฉันไม่มีสิทธิ์เสียอกเสียใจ ลุงมีครอบครัว ที่ต้องดูแล ฉันเพียงแต่สงสัยว่าเมื่อไหร่ รถไฟขบวนที่โชคร้ายนี้ จะถึงจุดหมายปลายทางซะที


ฉันเดินทางไปเยี่ยมพ่อที่เชียงใหม่ ฉันมีลางสังหรณ์ว่า ปีกของนางฟ้าที่นำความตายอาจจะกางอยู่เหนือฟ้าบริเวณบ้านของพ่อของฉันในนาทีไหนก็ได้ ฉันเศร้าสลดใจเมื่อเห็นสภาพที่ทรุดโทรมของบ้าน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาพของพ่อของฉัน พ่อฉันดูซีดเซียวและเศร้าหมอง ผมพ่อยาวและดูสกปรก เสื้อผ้าพ่อดูเหมือนไม่ได้เปลี่ยนมาเป็นอาทิตย์ รุ่งละเลยพ่ออย่างเห็นได้ชัด  ความรักที่แท้จริงไปไหน เมื่อเงินหมดความรักก็หมดไปด้วย ฉันสังเกตเห็นเล็บของพ่อของฉันมีความยาวเปราะและสกปรก ฉันตัดเล็บให้พ่อ และฉัน ยิ่งเศร้าหมองมากขึ้นเมื่อสังเกตว่าเล็บครึ่งหนึ่งของพ่อได้ เปราะและตายแล้ว ฉันหมดความอดทนตั้งแต่นาทีนั้น หันมาตวาดน้ารุ่งอย่าไม่เกรงใจอีกต่อไป ต่อว่าถึงความใจดำ และความโหดร้ายที่เธอทำกับพ่อ

เราทะเลาะกันอย่างหมดความเกรงใจกันอีกต่อไป ฉันออกจากบ้านมา โดยปิดประตูโครม และไม่หันไปมองอีกเลย ฉันกลับมากรุงเทพ ด้วยอารมณ์ที่ยังโกรธครุกรุ่นอยู่  ฉันนอนร้องไห้บนเตียง ในคอนโดซอย 33 ฉันเหนื่อยมาก ไม่มีเงิน ไม่มีครอบครัว ไม่มีใครที่ฉันจะหันไปหา ฉันต้องยืนด้วยลำแข้งของตนเอง ฉันต้องทำงาน ฉันต้องหางานทำ ฉันมีปริญญา มันไม่น่าจะยากมากมาย

แต่ที่ไหนได้ มันยากมากเลยที่จะหางานทำในปีนั้น เพราะระบบเศรษฐกิจที่มีปัญหา ไม่มีบริษัทไหนอยากจ้างคนงานเพิ่ม มีแต่คัดคนงานออก ฉันเดินเข้าออก ไปสัมภาษณ์ จากบริษัทโน้นไปบริษัทนี้ และเริ่ม รู้สึกผิดหวัง ท้อแท้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆฉันเครียดจนเกือบถึงจุดที่อยากฆ่าตัวตาย
แต่แล้วฉันก็ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนว่า โรงแรมแห่งหนึ่งในย่านเพลินจิต ต้องการ พี อาร์ เงินเดือนประมาณ 12000 บาท แต่ต้องรีบไปติดต่อด่วนมาก ฉันรีบโทรศัพท์ไปสอบถามและกระหืดกระหอบ ไปสัมภาษณ์ทันทีประหนึ่งว่ามันเป็นโอกาสสุดท้ายในชีวิตทีเดียว
คนสัมภาษณ์เป็นฝรั่ง อายุประมาณ 40 ปลาย ๆ เขาไม่แสดงท่าทีว่าจะสนใจคุณสมบัติของฉันเลย เอาแต่แอบมองรูปร่างหน้าตา(ทางหางตา)มากกว่า เขาให้ฉันเริ่มงานได้ทันทีในวันรุ่งขึ้น ฉันกลับห้องอย่างมีความสุขที่สุด

ความสุขไม่อยู่กับฉันนานหรอกนะ เพราะ ตลอด เวลา ใน สัปดาห์แรกฉันทำงาน โดยอยู่ในสายตาของเจ้านายฝรั่งคนนี้ตลอดเวลา สายตาเขาที่มองฉันมันหยาบคายมาก เหมือนจะถอดเสื้อผ้าฉันออกทุกชิ้น เป็นเจ้านายที่มีมารยาทเลวที่สุด ฉันต้องคอยหลีกเลี่ยงและปัดมือเขาออกยยามที่เขาพยายามจะฉวยโอกาสแตะต้องตัวฉัน จนกระทั่งวันหนึ่งหลังเลิกงาน เขาเอ่ยปากชวนฉันไปดื่มที่บาร์ใกล้ ๆ ที่ทำงาน ฉันอยากจะปฏิเสธ แต่ตามธรรมเนียมคนไทย ถ้าเจ้านายชวน ลูกน้องจะปฏิเสธไม่ได้ ถือว่าเสียมารยาท
ช่างโง่เง่าสิ้นดี จะถือว่า ไร้เดียงสาก็คงไม่ใช่ แต่คิดไม่ถึงมากกว่า ฉันดื่มไม่เก่ง นายฝรั่ง พยายามคะยั้นคะยอให้ฉันดื่ม มาร์การิต้า ด้วยฤทธิ์ของตากีล่า ทำให้ฉันเมาจนยืนตรง ๆ ก็ไม่ได้

ฉันตื่นนอน ในวันรุ่งขึ้น บนเตียงในห้องนอนของนายฝรั่ง ฉันตกใจและโกรธมาก ฉันถูกขืนใจโดยคนเลว ไม่มีศีลธรรม ฉันเคยมีความสัมพันธ์กับแฟนซึ่งเป็นเพื่อนนักศึกษาตอนอยู่ปี 2 ในมหาลัย เพียง ครั้ง สองครั้งแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ เท่านั้น เพราะกลัวคนรู้ กลัวพ่อเสียใจ ส่วนแฟนตัวแสบ ก็หายไปทันทีที่ครอบครัวฉันตกต่ำ

ฉันเคยคิดว่าความรักเป็นสิ่งสวยงามมีค่า ควรให้ความสำคัญ อาจจะเป็นเพราะ ฉันอ่านนิยายโรแมนติกมากเกินไปก็ไม่รู้ ฉันไม่รู้ว่ารักคืออะไรอีกต่อไป แต่ที่แน่ ๆ คือ นายฝรั่งกระทำกับฉันคือการขืนใจ ฉันลาออกจากงานทันที นายนั่นพยายามตามหาฉัน เขาอยากขอโทษและอยากเป็นแฟนจริงๆ จัง ๆ กับฉัน แต่ฉันปฏิเสธ อันที่จริงฉันสามารถแจ้งความเอาเรื่องได้ แต่ฉันไม่อยากให้ชีวิตของฉันยุ่งยากมากไปกว่านี้ จึงพยายามคิดเสียว่านายคนนี้ ไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้

จากนั้น ฉันก็เริ่มดื่ม และหัดสูบบุหรี่ ฉันไม่ควรทำอะไรบ้า ๆ แบบนั้นเลย แต่ฉันต้องการทำอะไรก็ได้ให้ลืมเรื่องราวต่าง ๆ ฉันนั่ง ๆ นอนๆ อยู่ในคอนโดตลอดสัปดาห์ ดูทีวีทั้งวัน จนหลับไป ตื่นมาอีกที ทั้งตัวมีเงินอยู่ 500 บาท ค่าห้อง 6000 บาทก็ยังไม่มีจ่าย และไม่รู้จะหาเงินมาจากไหน

กำลังกลุ้ม ๆ เพื่อนสมัยเรียนมหาลัยก็โผล่พรวดมาเยี่ยม เธอชื่อแทมมี่ เอาวีดีโอมาเปิดให้ดูด้วย จำได้ว่า เรื่อง Madame Beverley Hillsป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของสาวบริการหรือเอสคอร์ท ระดับสูง บริการเฉพาะลูกค้าไฮโซ ฉันดูถึงสองรอบ เพราะ มันไม่ใช่เรื่องราวของผู้หญิงบริการธรรมดา เธอ ๆ เหล่านั้นต้องมีคุณสมบัติระดับเริ่ด มีความสวยระดับดารา นางแบบ และต้องฝึกให้ อ่านหนังสือ หาความรู้ใส่ตัวเพื่อเป็นเพื่อนคุยกับลูกค้าทุกเรื่อง ทั้งเรื่องธุรกิจ เรื่องการเมือง เรื่องศาสนา มันเป็นหนังที่ดีมากเรื่องหนึ่งเท่าที่ฉันเคยดูมา มันทำให้งานของหญิงบริการเหล่านี้เป็นศิลปมากกว่าการเป็นโสเภณีทั่วไป

และแล้วฉันก็เข้าใจงานของแทมมี่ ฉันตกลงใจขอให้แทมมี่พาฉันไปสมัครงานนี้ทันที เพราะแทมมี่บอกฉันสั้น ๆ ว่า ถ้าเธอบอกฉันสั้น ๆ ว่าชวนไปทำงานเอสคอร์ท ฉันคงดูถูกแทมมี่และไม่ตกลงด้วย แทมมี่บอกว่าเธอรู้ว่าฉันลำบาก แต่ก็อยากให้ ช่วยเหลือตัวเอง บางทีโชคดีอาจจะไม่ต้องทำนาน ก็เก็บเงินได้แล้ว
พอกันเสียทีกับบทคุณหนู ไร้เดียงสา เคร่งศาสนา ก็ท้องฉันหิวน่ะ ฉันต้องทำให้ท้องฉันอิ่มก่อนมิใช่หรือ ฉันเริ่มเข้าใจกฎมาสโลว์ก็ตอนนี้เอง ไม่มีอาหาร ไม่มีเงิน ไม่มีเสื้อผ้า อย่าว่าแต่เสื้อผ้าเลย ผงซักผ้ายังไม่มีเลย พอกันทีความแร้นแค้น ฉันจะต้องทำให้หายหิวและเริ่มมีเงินในกระเป๋า อีกครั้งหนึ่งนี่คือก้าวแรกของการเข้ามาสู่ความตกต่ำของชีวิตที่เหมือนกับการตกลงสู่กระแสน้ำวน

งานใหม่ของฉัน น่าตื่นเต้นมาก ฉันต้องศึกษาข้อมูลหลาย ๆ ด้าน เพื่อเอาไว้คุยกับลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจ นอกจากมีหน้าที่ทำตัวเองให้ สวย สมาร์ท แล้ว ต้องดื่มเป็น เต้นรำเป็น ร้องเพลงได้  ทำอยู่ไม่นานก็มีการเปลี่ยนแปลงโดยที่บังเอิญเอเจนซี่ได้รับการติดต่อจากนักธุรกิจชาวดูไบคนหนึ่ง ต้องการเอสคอร์ท จำนวนหนึ่งไปทำงานที่ไนต์คลับเปิดใหม่ของเขาที่ดูไบ

ฉันถูกส่งตัวไปในกลุ่มเพื่อน ๆ คลับที่เราทำงานเอ็กคลูซีฟมากลูกค้าระดับเศรษฐี นักธุรกิจและนักการเมือง ฉันได้รับค่าตัวอยู่ในเกรด A ถือว่ายังใหม่ ไม่เคยทำงานมาก่อน ไม่เคยแต่งงาน ไม่มีแฟน ฉันจึงป็อปปูล่าดูหรูหราไฮโซมาก ฉันรับแขกแค่ อาทิตย์ละ 2 คน พวกเขาก็มีพฤติกรรม เหมือน ๆไฮโซในกรุงเทพที่พาแฟนไปเดท คือ พาไปทานข้าวตามร้านหรู ๆ โรงแรมใหญ่ ๆ ในฐานะ แฟน หรือคู่หมั้น ฉันคิดถึงเวลาอันแสนหรูหราเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ทริปไป Caribbean and Andalusiaในสเปน ลูกค้าที่พาไป รวยมาก ๆ ให้ทิปฉันเป็นจำนวนเงินที่มากพอจะซื้อรถหรูๆ ได้ซักคันหนึ่งแต่ฉันก็ทำงานที่ดูไบได้แค่ 6 เดือน ก็กลับมากรุงเทพ เพราะเป็นเงื่อนไขของบริษัท และเรื่องวีซ่าด้วย

ฉันทำงานที่กรุงเทพอีก 6 เดือนก็เบื่อ และ ลาออก ฉันเก็บเงินฝากแบ้งค์ได้จำนวนหนึ่งและฉันก็ยังมี แฟนชาวอาหรับที่ใจดีส่งเงินมาให้ใช้อย่างสม่ำเสมอ 
ต่อมาฉันก็มีแฟนชาวอังกฤษชื่อทอม 
ฉันเจอทอม หลังจากไม่ได้ทำงานแล้ว เราเจอกันที่ร้านอาหารในซอยสุขุมวิท 17 ชื่อร้าน Crepes & Co ร้านนี้แพงหูฉี่ จะเรียกว่ารักแรกพบหรือเปล่าก็ไม่รู้ กว่าจะรู้ตัวฉันก็ย้ายเข้าไปอยู่กับเขาที่คอนโดหรู แถวเอกมัยเรียบร้อยแล้ว ทอมเป็นอาจารย์ สอนในมหาวิทยาลัย เขาชื่นชมภาษาอังกฤษของฉันมาก เรื่องราวของฉันน่าจะจบแบบแฮ็ปปี้ เอ็นดิ้งนะ แต่ไม่ใช่



เล่าโดยสนุกกี้ คนพัทยา


1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ1 มีนาคม 2558 เวลา 16:34

    ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก

    ตอบลบ