pearleus

วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2558

นรกมันมีจริง


ไหนๆ ก็ได้พื้นที่จากทางไทยรัฐในการเขียนความในใจแล้ว บุ๋มขอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้แต่น้อยคนที่จะรู้ว่า "นรกมันมีจริง" มันคือ เรื่องราวของหญิงไทยที่ไปทำงานในต่างแดน
เท่าที่ได้มีการพูดคุยกับผู้หญิงที่ได้ช่วยเหลือกลับมา หญิงสาวกว่า 90% รู้ว่าตัวเองกำลังจะไปทำงานอะไร แต่ไม่นึกว่าจะมีคู่แข่งเยอะจากนานาประเทศ รวมทั้งไม่คิดว่าจะต้องทำงานหนักมากขนาดนี้ ส่วน 10% ที่เหลือคือพวกที่โดนหลอกว่าให้ไปทำงานนวดสปา หรือไม่ก็พนักงานร้านอาหารและโรงแรมจริงๆ แต่พอไปถึงกลับให้ทำงานขายตัวเพื่อใช้หนี้ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าวีซ่า ค่ากิน ค่าอยู่ ค่ายา ค่าของใช้สารพัด ยิ่งทำยิ่งเป็นหนี้
ตอนติดต่อให้ไปทำงานก็จะบอกว่า ไปทำงานโรงแรม สปา ร้านนวด หรือไม่ก็ขายตัวกันชัดๆ นี่แหละ แต่จะบอกว่า ไปทำงานสัก 2-3 เดือน ก็จะได้เงินสองสามแสนกลับบ้าน สาวบ้านนอก ยากจน หนทางชีวิตแค่หายใจยังลำบาก ไหนจะต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ที่เจ็บป่วยแก่เฒ่า ลูกหลานที่แหกปากร้องหิวทุกวัน ผัวที่ไม่ทำการทำงาน ชีวิตเหมือนไม่มีทางเลือก สู้ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า นายหน้าหรือคนติดต่อก็ยังบอกว่า ค่าตั๋ว ค่าวีซ่า ค่าอุ้ม (คือค่าหาคนมารับรองเข้าประเทศ) ออกให้ก่อน ไปแล้วได้ตังค์แล้วค่อยใช้คืน ไม่กี่หมื่นหรอก (ตอนนี้นายหน้าหรือคนแนะนำได้ตังค์ไปดอกแรกแล้ว) แต่ก็มีบางคนที่เต็มใจไปจ่ายค่านายหน้า 5 - 8 พันบาท
พอไปถึงก็จะโดนจับไปขังอยู่ในตึก แล้วก็บอกสาว

ๆ เหล่านี้ว่า มีหนี้กับคนดูแล 1,600 ถึง 1,800 ดีนาร์บาห์เรน (ณ วันที่พิมพ์คอลัมน์ 1 ดีนาร์บาห์เรน เท่ากับ 92 บาท) ค่าเช่าห้องสัปดาห์ละ 220 ถึง 280 ดีนาร์บาห์เรน อาหารมีให้กินวันละมื้อ (บางทีก็ต้องจ่าย บางตึกก็ไม่ต้อง) ส่วนมื้ออื่นมี ข้าว ไข่ และมาม่า ให้พอรองท้อง ถ้าจะกินเยอะกว่านี้ก็ต้องจ่ายตังค์ การทำงานต้องทำ 24 ชั่วโมง ต้องรับแขกทุกครั้งที่โดนเรียก ถ้าดื้อ ถ้าช้า ถ้างอแง ก็โดนบวกตังค์ทบหนี้ ดังนั้นสาวๆ ต้องแต่งหน้าตลอด 24 ชั่วโมงเช่นกัน ค่าของใช้ส่วนตัว สบู่ ยาสีฟัน ค่าเครื่องสำอาง ทุกอย่างคิดเป็นตังค์หมด อย่างแป้งซื้อจากเมืองไทย 100 บาท ก็ไปขายสาวๆ ในราคา 500 บาท ถ้าเจ็บป่วยซื้อยาก็คิดตังค์เพิ่ม ยิ่งถ้าต้องไปหาหมอไม่ต้องพูดถึง ใช้หนี้อาน
ส่วนรายได้ก็ต้องมาจากการขายตัว ครึ่งชั่วโมง 20 ดีนาร์บาห์เรน, ถ้าหนึ่งชั่วโมงก็ 30 - 35 ดีนาร์บาห์เรน เหมาวันก็มีแต่น้อย แถมยังมีราคาปลีกย่อยว่าถ้าขายหน้าหลังราคาก็เพิ่มขึ้นมาอีกนิด ถ้าโชคร้ายก็จะเจอแขกหลอกว่าเฉพาะข้างหน้า แต่พอเข้าห้องโดนล็อกแขนข่มขืนข้างหลังจนเลือดไหลไม่หยุดก็มีมาแล้ว ไม่จ่ายเพิ่มด้วย! แล้วคิดดูว่าวันๆ นึงคุณต้องรับแขกให้ได้กี่คนเพื่อให้พอค่าห้องพัก ค่าอาหาร และจ่ายหนี้ที่ค้างเป็นแสนมาตั้งแต่แรก คุณต้องรับแขกอย่างน้อยร้อยประตูต่อสัปดาห์ถึงจะอยู่รอด ถ้ามีประจำเดือน คุณก็ต้องซื้อลูกไก่ราคาประมาณ 5 ดีนาร์บาห์เรน (ฟองน้ำกลมๆ เพื่อยัดในช่องคลอดไว้อุดเลือดไม่ให้ไหล แล้วถ้าโดนอัดหนักๆ จนล้วงไม่ออก ก็ต้องเอาน้ำฉีดเข้าไปในช่องคลอดจนลูกไก่หลุดออกมา) แต่ก็ต้องรับแขกให้ได้มากที่สุด ถ้าอยู่มานานแล้วหาแขกไม่ค่อยได้ รายได้ไม่เดินก็จะโดนขายต่อไปตึกอื่นเหมือนหมูเหมือนหมา แถมหนี้ค่านายหน้าก็เพิ่ม ถ้าป่วยก็ต้องหายาที่จ่ายแพงๆ มากินให้หาย ถ้าป่วยไม่หายไร้ซึ่งอนาคตก็จะโดนผลักตกตึกแล้วก็จะบอกแค่ว่า มันคืออุบัติเหตุ

สาวๆ ที่อยู่ที่นั่นเลยต้องปากกัดตีนถีบไปโดยไม่มีข้อแม้ ห้ามออกนอกตึกถ้ายังใช้หนี้ก้อนแรกไม่ได้ ห้ามเปิดหน้าต่างให้คนอื่นรู้ แถมยังนอนในห้องที่นอนกองรวมๆ กันสิบกว่าคน (ห้องที่ต้องจ่าย 220 หรือ 2 หมื่นกว่าต่อสัปดาห์นั่นแหละ) แล้วยังมีสาวๆ สวยๆ จากต่างชาติมาแย่งลูกค้าอีกเพียบ (ไม่กล้าเขียนประเทศเกรงว่าจะเป็นปัญหาระหว่างประเทศกันอีก เอาเป็นว่าพูดถึงสาวไทยก็พอนะ) สาวไทยเหล่านี้เลยต้องดูแลปรนนิบัติพัดวีนวดเฟ้นหลังเสร็จกิจเป็นอย่างดี เพื่อให้ลูกค้าติดใจครั้งหน้าจะได้เรียกสาวไทยต่อไป ดูสิ! การแข่งขันสูงมากขนาดไหน? นี่ละมั้งที่บอกก่อนมาบาห์เรนว่า “งานนวด”
บ่อทองบ่อสวรรค์กลายเป็นเหวนรกเมื่อคิดผิด ไปหนึ่งเดือนสามเดือนก็ยังกลับไม่ได้เพราะหนี้ยังใช้ไม่หมด ดีไม่ดีก็โดนหมกไม่ได้กลับบ้านตลอดกาล ชีวิตจริงไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ ค่ะ แต่ถึงกระนั้นสาวไทยก็ยังเหินฟ้าบินไปบาห์เรนกันเหมือนไปเที่ยวห้าง ทำให้ทางองค์กรทำดีและสถานทูตไทยในบาห์เรนต้องทำงานหนักในการช่วยเหลือหญิงสาวออกมาจากนรก ต้องขอขอบคุณ สถานทูตไทยในบาห์เรน หรือ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมานามา ที่ช่วยเหลือหญิงไทยทุกคนอย่างขันแข็ง แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่า พวกเธอเหล่านั้น 90% เต็มใจไป

จริงอยู่ที่การเข้าไปช่วยเหลือทำให้บรรดาซ่องเสียหนี้ที่ต้องได้แต่ก็ถือว่าคุณเองก็หลอกเค้า จริงไหม? ส่วนสาวๆ ที่คิดว่า สถานทูตต้องออกตังค์ค่าหนี้ค่าตั๋วให้ คิดผิดคิดใหม่นะคะ เพราะเงินนั้นคือเงินภาษีประชาชนที่เค้าทำงานหนักและจ่ายภาษีถูกต้องตามกฎหมาย จะมาจ่ายให้สาวๆ ตั้งเป็นพันคนต่อปี เพื่อไปบินกลับเนี่ยะนะ คิดง่ายไปไหม? แล้วคุณดูจำนวนคนที่ไปสิ ขนาดบ้านพักฉุกเฉินมีให้กินให้นอนอย่างดีแบบฟรีๆ ก่อนได้บินกลับ สาวๆ บางคนยังมีบ่นเลย เฮ้อ! แต่ไม่ว่าคนไทยอยู่ไหนก็คือคนไทย เราก็ต้องช่วยเหลือคนไทยด้วยกัน เมื่อคนไทยอยากกลับบ้านต้องได้กลับ
อ่านมาขนาดนี้แล้ว ขอกำลังใจให้ สถานทูตไทยในบาห์เรน องค์กรทำดี และ ปคม. (ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์) ด้วยนะคะ! เราจะสู้ต่อไปค่ะ!


กลับไปหน้าหลักค่ะ

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สาวสองพันปี & นักธุรกิจร้อยล้าน นวลปรางค์ ตรีชิต ความสุขไม่ได้อยู่ที่ทรัพย์สินเงินทอง



เรื่องนี้ ขอรวบรวมทุกอย่างเกี่ยวกับ เซเล็บคนเก่งในหัวใจค่ะ(ไม่เกี่ยวกับ"คนพัทยา" ค่ะ)แต่อยากให้ผู้หญิงที่มีสามีฝรั่ง ไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอก ควรดูไว้ วิธีคิดของเธอไม่ธรรมดาจริง ๆ







  


                         




จากเวทีนางงามก้าวสู่อาชีพนางแบบที่โด่งดัง แม้ชีวิตคู่ล้มเหลวก็ไม่ได้ทำให้ทุกข์ใจใดๆ แต่กลับเป็นแรงผลักดันให้เป็นเจ้าของธุรกิจเสริมความงามและร้านก๋วยเตี๋ยวแสนอร่อย ชีวิตประสบความสำเร็จเพราะมีลูกชายเป็นเหมือนพลังใจให้ก้าวเดินอย่างแข็งแกร่ง 

ในวงการดารา-นางแบบรุ่นใหญ่ไม่มีใครไม่รู้จัก ตุ๋ย-นวลปรางค์ ตรีชิต เจ้าของธุรกิจด้านสุขภาพ แจ้งเกิดจากเวทีแคตวอล์กจนมีชื่อเสียงโด่งดัง ปัจจุบันยังเป็นผู้ดำเนินรายการโกลเด้นคลับ ความรู้เพื่อการดูแลสุขภาพ ทางสถานีดาวเทียม H-Plus Channel แม้อายุเข้าสู่เลข 5 เธอก็ยังสวยไม่สร่าง จนใครต่อใครมอบฉายา “สาวสองพันปี”
ธุรกิจเสริมความงาม & ก๋วยเตี๋ยว 

เรียกว่าประสบความสำเร็จจากทุกธุรกิจที่ทำ อย่างแฟรนไชส์ Daily Nail ร้านตกแต่งเล็บ “แอทเนล บาย นวลปรางค์ ตรีชิต” ที่ขยายไป 3 สาขา ทั้งทาวน์อินทาวน์ โรบินสัน รัชดา และเอสพลานาด รัชดา รวมทั้งร้านทำผม และร้านก๋วยเตี๋ยว “นวลปรางค์นู้ดเดิ้ลบาร์แอนด์กริล” ที่เมเจอร์ อเวนิว รัชโยธิน 
ตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ผันตัวเองจากดารามาเป็นนักธุรกิจเธอมีวิธีบริหารจัดการอย่างไร “ใช่ว่าดาราจะไม่มีปัญหาในการทำธุรกิจ ถ้าต้องเจออุปสรรคขอให้ค่อยๆ แก้ เพราะวิกฤตเศรษฐกิจอย่างนี้ทุกคนโดนหมด ขอเพียงพยายามประคับประคองธุรกิจให้อยู่รอดให้ได้ อาจจะไม่ดีที่สุด แต่ให้มองธุรกิจที่เข้ากับยุคสมัย อย่าทำอะไรตามแฟชั่น ทำอะไรก็ได้ที่เหมาะกับปัจจุบัน ยุคที่คนประหยัดกันมาก อะไรที่เป็นเรื่องสิ้นเปลืองเขาก็จะตัดออก แล้วสิ่งสำคัญต้องเลือกงานที่คุณรักจริงๆ ไม่ใช่ทำตามความนิยม แล้วจะอยู่กับมันได้นาน” คุณตุ๋ยบอกเคล็ดลับส่วนตัว 

  จากเวทีนางงามสู่อาชีพเดินแบบ 

ย้อนประวัติ นวลปรางค์ ตรีชิต เกิดวันที่ 30 กรกฎาคม 2501 ก่อนเข้าวงการถูกชักชวนให้ไปประกวดนางงาม “ตอนนั้นอายุประมาณ 14-15 เริ่มต้นจากการประกวดนางงาม ในรุ่นนั้น ศิริขวัญ นันทศิริ ได้อันดับ 1 ส่วนตุ๋ยตกรอบ (หัวเราะ) ตอนนั้นเราเด็กที่สุด โตยังไม่เต็มที่ แต่หน้าตาเราคงไปโดนใจเขา ก็เลยได้รับตำแหน่งขวัญใจช่างภาพ ตอนนั้นเรียกว่าขวัญใจยามาฮ่า ซึ่งเป็นสปอนเซอร์ให้เราได้เรียนดนตรีฟรี” ถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตที่เป็นจุดเริ่มต้นในการก้าวสู่อาชีพนางแบบด้วยการถ่ายปกนิตยสาร จากนั้นก็มีแมวมองมาชวนให้ไปเป็นนางแบบอาชีพ 

เธอเป็นนางแบบในยุคเดียวกับ ลินดา ค้าธัญเจริญ, เพ็ญพร ไพฑูรย์, รุ่งนภา กิตติวัฒน์, วันทิพย์ ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม และ ดวงตา ตุงคะมณี จากการชักชวนของ ทอม เชื้อวิวัฒน์ ช่างภาพชื่อดังในยุคนั้น เธอถูกจัดเป็นนางแบบชั้นแนวหน้า ด้วยบุคลิกที่โดดเด่น สง่างาม ใบหน้าสวยหวาน แต่ดูหยิ่งนิดๆ บวกกับท่วงท่าการเดินแบบสง่าราวกับนางพญา ดึงดูดสายตาผู้ที่ได้เห็นเสมอ ทำให้เธอมีทั้งงานเดินแบบให้กับห้องเสื้อต่างๆ รวมทั้งเดินแบบให้โรงแรมเฟิสต์คลาสในยุคนั้น เช่น โรงแรมเอเชีย บางกอกพาเลส ดุสิตธานี ฮิลตัน เชอราตัน ฯลฯ ไปจนถึงมีงานถ่ายแบบลงนิตยสารชั้นนำต่างๆ ทั้งสตรีสาร กุลสตรี ขวัญเรือน และหญิงไทย นิตยสารสำหรับผู้หญิงนำสมัย เช่น สาวสยาม สาวสวย และนิตยสารในแวดวงแฟชั่นและนางแบบ เช่น ลลนา แพรว เปรียว เป็นต้น 

ขณะที่กำลังรุ่งกับอาชีพนางแบบ ด้วยหน้าตาที่สะสวยจึงเข้าตานักปั้นดาราอย่าง อารีย์ นักดนตรี อดีตนางเอกละครโทรทัศน์และนักจัดละครชื่อดัง ผู้ปลุกปั้น ลินดา ค้าธัญเจริญ และ กาญจนา จินดาวัฒน์ สู่เส้นทางบันเทิง 

“ตอนนั้นเป็นท็อปโมเดลเลย ช่วงนั้นไม่ค่อยมีนางแบบมากมายเหมือนสมัยนี้ เดินแบบหน้าจะซ้ำๆ กัน แต่พอลินดาเข้าไปเล่นละครกับ อารีย์ นักดนตรี ก็พาเราไปด้วย พอคุณอารีย์เห็นก็บอกว่าหน้าตาเราเหมาะกับบทนี้ สนใจไหม เพราะคาแรกเตอร์เราไม่ใช่ผู้หญิงเรียบร้อย แต่บทดี เป็นนักเรียนนอก ไม่ใช่นางเอกเรียบร้อยแบบ รัชนู บุญชูดวง, อุทุมพร ศิลาพันธ์, เดือนเต็ม สาลิตุล เป็นนางเอกแบบที่ถูกตามใจ จะเอาอะไรต้องเอาให้ได้” สุดท้ายเธอได้แจ้งเกิดจากบทบาทในละคร “กุหลาบไร้หนาม” ตามด้วย “สามอนงค์” ที่โด่งดังจนมีผลงานละครมากมายในเวลาต่อมา 

จากวันนั้นจวบจนวันนี้ที่อายุเข้าสู่เลข 5 ทว่าอดีตนางแบบรุ่นใหญ่ก็ยังดูแลผิวพรรณให้สวยใสและรักษารูปร่างให้ฟิตเปรี๊ยะอยู่เสมอ “ก็พยายามนอนแช่ฟอมอลีน(?)เอาไว้ค่ะ” เธอตอบติดตลกพลางหัวเราะชอบใจ เรียกเสียงครื้นเครงได้รอบวงสนทนา เมื่อถามถึงเคล็ดลับของสาวสองพันปี 
  /// บทเรียนชีวิตคู่ 

สำหรับชีวิตส่วนตัวเคยใช้ชีวิตคู่อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเกือบ 10 ปี ก่อนจะร้างรากันไป “จริงๆ ตัวเองอยู่ในวงการนี้สั้นมาก เข้าวงการอายุประมาณ 15 ได้ทำงานจริงจังประมาณ 18 เริ่มมีชื่อเสียงตอนอายุ 20 พออายุ 25 ก็แต่งงานแล้วไปใช้ชีวิตอยู่ที่ซานฟรานซิสโก ทำร้านอาหารไทยอยู่ 3 สาขา ร้านมินิมาร์ต และอพาร์ตเมนต์ ซึ่งล้วนเป็นธุรกิจของสามีทั้งหมด เราก็ไปช่วยกันดูแล แต่ตอนที่เราไปไม่ใช่ยุคบุกเบิก มีคนปูทางเอาไว้ให้หมดแล้ว คือทางครอบครัวสามีถือเป็นรุ่นลำบาก ไปก่อร่างสร้างตัวเอาไว้ พอเราไปถึงเป็นช่วงที่ธุรกิจเขาดำเนินไปได้ดีแล้ว ก็เลยมีหน้าที่ไปคอยดูแลร้าน ใช้ชีวิตเป็นแม่บ้าน ดูแลลูกชายคนเดียวคือ น้องดีน (ดีน ประมวญผล) ชีวิตไม่ฟู่ฟ่าเหมือนตอนอยู่เมืองไทย แต่ก็มีความสุขกับชีวิตแบบนั้น” สุดท้ายได้ใช้ชีวิตคู่อยู่ที่อเมริกา 14 ปีในฐานะภรรยาเจ้าของร้านที่ช่วยดูแลธุรกิจต่างๆ ของสามีและลูกชายเพียงคนเดียว ก่อนจะตัดสินใจแยกทางกันและบินกลับเมืองไทย 

“ตอนนี้กลับมาอยู่เมืองไทยได้ 15 ปีแล้ว สำหรับเรื่องชีวิตคู่ การที่ผู้หญิงคนหนึ่งตัดสินใจแต่งงาน มีครอบครัว คงไม่มีใครอยากหย่า แต่เราเข้าใจซึ่งกันและกัน คุยกันด้วยเหตุผล ในเมื่อเขาไปพบคนใหม่ และคิดว่าใช้ชีวิตคู่กับเราต่อไปไม่ได้ เขาก็มาบอกเราตรงๆ พูดตอนนี้เหมือนกับว่าเราทำใจได้ แต่กว่าจะผ่านช่วงนั้นมาได้ก็ลำบากเหมือนกัน ต้องใช้เวลานานในการปรับตัว และพยายามเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น จนตอนนี้ไม่มีอะไรติดค้างในใจแล้ว ถึงเขาจะเป็นคนผิดก็ให้อภัยไปหมด กลายมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เขายังคงทำหน้าที่พ่อของลูกได้อย่างดี ถามว่าตัดสินใจว่าจะหย่าหรือไม่ ใช้เวลาไม่นานหรอก เพราะความที่เขาพร้อมจะหย่าอยู่แล้ว เราดูแล้วว่าในเมื่อคนเขาไม่มีใจ เขาอยากจะไปแล้ว ยื้อไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ใช่ว่าเราไม่พยายาม ตัวเองพยายามปรับตัวในสิ่งที่เขาไม่ชอบ แต่มันก็สายไป ดังนั้นเรื่องการหย่าตัดสินใจไม่ยากเลย ยากตรงที่ว่าเราจะตัดสินใจอยู่เมืองไหนต่อไปต่างหาก คิดหลายตลบเหมือนกัน 

“สุดท้ายตกลงกลับมาอยู่เมืองไทย เพราะอยู่ที่นั่นอย่างไรก็เป็นญาติพี่น้องของเขา ธุรกิจก็เป็นของเขา กลับมาที่นี่อย่างไรก็ญาติพี่น้องเรา จนถึงวินาทีนี้ก็รู้สึกดีใจ คิดว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้วที่กลับมา และเริ่มต้นธุรกิจของเราด้วยตัวเอง ตอนที่ตัดสินใจเลิกกับสามี ลูกชายเพิ่งอายุ 7 ขวบ ยังเด็กอยู่ แต่คิดว่าเขาคงพอจะเข้าใจบ้าง จนตอนนี้อายุ 22 แล้ว กำลังเรียนวิศวะอยู่ที่ออสเตรเลีย ตัวเองเป็นแม่ที่เลี้ยงลูกเหมือนเพื่อน เคยบอกกับเขาว่า หนูเคยมีเพื่อนอยู่ประเภทหนึ่งไหมที่แบบว่าเดี๋ยวกัดกัน เดี๋ยวก็ทะเลาะกัน เดี๋ยวก็งอนกัน เสร็จแล้วก็ง้อกัน แต่ยังไงก็ทิ้งกันไม่ลง กับลูกจะอารมณ์ประมาณนั้น ไม่ใช่ว่ามานั่งกลัวแม่ แต่มีเรื่องอะไรจะพูดกันตรงๆ พอเขาโตเป็นวัยรุ่นแล้วก็จะไม่ติดแม่เหมือนเมื่อตอนเด็กๆ เขาจะมีชีวิตของตัวเอง เราก็มีชีวิตของเรา แต่เราสองคนเข้าใจกันดี ทุกวันนี้สอนลูก ลูกอยากทำอะไร แล้วไม่เดือดร้อนใคร ทำไปเลย ตอนที่กลับมาเมืองไทยนั้นอายุ 39 ปี จะให้ไปเดินบนเส้นทางสายมายาเต็มตัวแบบเก่าก็คงไม่ได้ จึงตั้งใจไว้แล้วว่าจะลงทุนเปิดธุรกิจของตัวเอง” ย้อนอดีตด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย หากแววตาระคนเศร้าอยู่ลึกๆ 

 เคล็ดลับวางตัวในวงการ 

สำหรับการวางตัวในวงการบันเทิงเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะหากใครมองข้ามตรงจุดนี้อาจส่งผลให้ไม่ยั่งยืนกับอาชีพนางแบบหรือนักแสดง “แรกๆ ทุกคนคงวางตัวลำบาก หลงระเริงกันทั้งนั้นแหละ เพราะเกิดมาไปไหนมาไหนไม่มีใครรู้จัก แต่พอมีชื่อเสียงไปไหนก็จะมีคนสะกิดกัน นั่นๆ นวลปรางค์ มันก็เลยมีช่วงเหลิง แต่ว่าเหลิงที่เราเป็นนั้นเหลิงจนเกินให้อภัยหรือเปล่า ถ้าเหลิงเกิน คนก็จะไม่รับแล้ว 

“เรื่องหลงตัวเองคิดว่าทุกคนต้องมีอยู่แล้ว ยิ่งตอนสาวเราสวยก็ต้องมีสวย เริด เชิด หยิ่ง อยู่ที่ว่ามากหรือน้อย แต่ว่าตัวเองคงน้อย ไม่อย่างนั้นป่านนี้คงลือกันไปหมดแล้วว่าเราร้าย อยู่ตรงนี้วงการมายามีคนรักก็มีคนเกลียด ดังนั้นอยู่วงการมายาต้องทำใจ แต่เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เราต้องเคารพสถานที่ เคารพผู้ใหญ่ เคารพผู้กำกับ ถึงเราจะแก่กว่า รู้มากกว่าว่าต้องเป็นแบบนี้ ตรงนี้ แต่เราต้องรู้ว่ามันไม่ใช่หน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราต้องแสดงตามที่ผู้กำกับบอก และที่สำคัญต้องตรงต่อเวลา ไม่ใช่ให้ทั้งกองถ่ายต้องรอเราเพียงคนเดียว 

“สมัยก่อนอารมณ์เหวี่ยงก็มีบ้าง คิดว่าทุกคนต้องมีอยู่แล้ว เพราะเราไม่ใช่แม่พระ (หัวเราะ) การปรับตัวบางครั้งเวลามันสอนเรา เพราะเราอยู่ไปนานๆ จะรู้ว่ามันก็แค่นี้เอง ทำดีก็ได้ดี ทำไม่ดีก็ได้ไม่ดี เพราะทำอะไรคงไม่สำเร็จทันที แต่ทุกอย่างอยู่ที่การเรียนรู้ มีผิดพลาด มีถูกต้อง อยู่ที่ว่าเรากลับมาได้เร็วขนาดไหน กลับมาเร็วก็เป็นกำไรของเรา แล้วถ้าเราไม่มีเงินก็ต้องช่วยตัวเองให้ได้ก่อน ก่อนที่จะไปขอคนอื่น คือตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน ไม่เคยไปของานใครทำ เพราะไม่ต้องการให้ใครอึดอัดใจ แต่ถ้าเขาเห็นว่าเหมาะสมกับบทเดี๋ยวเขาก็ติดต่อมาเอง จริงๆ ก็ไม่เดือดร้อน เพราะเรามีงานประจำทำ แล้วใช่ว่ามีเงินเป็นพันล้านแล้วจะมีความสุข เห็นคนมีเงินน้อยก็มีความสุขเยอะแยะ บางคนมีเงินมากมายก็ใช่จะมีความสุข ดังนั้นความสุขอยู่ที่ตัวเรา ความสุขไม่ได้อยู่ที่ทรัพย์สินเงินทอง” 

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความสุขในชีวิตของอดีตนางแบบชื่อดังที่ประสบความสำเร็จทั้งอาชีพการงาน และรายล้อมด้วยเพื่อนที่รักและหวังดี ที่สำคัญมีลูกชายที่ดีคอยเป็นกำลังใจให้เธอสู้แบบไม่ถอยนั่นเอง